ความเป็นจริงตรงหน้าอยู่ด้วยความรู้ทันจึงเรียกว่าธรรม

ความเป็นจริงตรงหน้าอยู่ด้วยความรู้ทันจึงเรียกว่าธรรม

406
0
แบ่งปัน

**** “ความเป็นจริงตรงหน้าอยู่ด้วยความรู้ทันจึงเรียกว่าธรรม” ****

ขอสาธุคุณยามเช้าให้มีแต่ความสุขความเจริญ

สมัยหนึ่ง ข้าเดินจงกรมอยู่

มันได้พิจารณาขึ้นมาว่า

รูปที่เห็นอยู่ มันเกิดจากตา

ตานี้ก็ไม่ใช่ผู้เห็น

ผู้เห็นนั้น มันเป็นวิญญาณ

วิญญาณนั้น เป็นอาการของจิต

จิตนั่นเป็นอาการปรุงแต่งที่เกิดมาจากอวิชา

วิญญาณนั้นอาศัยรูป

รูปนั้นทำให้เกิดอายตนะ

อายตนะคือช่องต่อระหว่างวิญญาณกับสิ่งที่ผัสสะ

ช่องต่อที่ใช้เห็นรูปเรียกว่าตา

วิญญาณใช้ช่องต่อที่เรียกว่าตา ในการเห็นรูป

กระบวนการเห็นนั้น มีจุดเล็กๆซ่อนอยู่ในลูกกระตา ผ่านไปสู่วิญญาณ

ทำให้เกิดการเห็นขึ้นมา

การเห็นนี้ เห็นเกิดจากการปรุงแต่งภายใน

วิญญาณปรุงแต่งโดยการผ่านจุดเล็กๆนั้น

กระบวนการทั้งหมดที่เห็นนี้ เรียกว่าจักษุ

เมื่อเกิดการผัสสะผ่านจักษุ

สิ่งแรกที่เกิดกับวิญญาณคือ ?????

ตัวนี้เรียกอวิชา..

ภาพในความทรงจำในภวังค์โปแกรมภายใน ถูกคัดขึ้นมาเทียบรูปที่ผ่านช่องจักษุ

เมื่อได้ใกล้เคียงในสัญญาภาพ

วิญญาณจะบ่งบอกได้ว่ารูปนั้นคืออะไร

ถ้าไม่มีในสัญญา หรือสัญญามีไม่พอ

วิญญาณก็บ่งบอกไม่ได้ว่ารูปนั้นคืออะไร

เมื่อจบกระบวนการ ผลนั้นเรียกว่าเวทนา

เรียกว่า เวทนาทางตา หรือทางจักษุวิญญาณ

จักษุวิญญาณคือ ผลที่ปรุงแต่งทางตา ที่ผัสสะแล้วรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

หรือไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

ทั้งรู้และไม่รู้ เป็นเวทนาที่ความเป็นเราเข้าไปรับรู้ ต่อจากกระบวนการปรุงแต่งที่มีเหตุมาจากผัสสะ ทางจักษุ

กระบวนการปรุงแต่งตั้งแต่ต้นจนเป็นเวทนา เราเรียกอาการเช่นนี้ว่า เจตสิก

เจตสิกก็คือ กระบวนการปรุงแต่งที่อาศัยกองขันธ์ทั้งห้า เป็นปัจจัยให้เกิด

สิ่งที่ปรุงแต่งเกิดขึ้น เมื่อมีความเป็นเราเข้าไปเป็นเจ้าของอาการ

ในที่นี้คือการเห็น

ตัณหาก็จะเกิด

เมื่อตัณหาเกิด อุปาทานก็จะเกิด

เมื่ออุปาทานเกิด เหตุก็จะเกิด

เมื่อเหตุเกิด ผลก็จะเกิด

นี่..กระบวนการต่างๆมันอาศัยการเกิดกันเป็นห่วงโซ่เช่นนี้

รู้เช่นนี้ ประจักษ์ใจเช่นนี้ เราจะได้ประโยชน์อะไรจากความจริงเช่นนี้

หรือจะแช่รู้อยู่เช่นนี้ แช่ไปจนตายด้วยความรู้ไปตามความเป็นจริงเช่นนี้

ผู้มีปัญญาจะมองเห็นประโยชน์มากมายที่จะเพิ่มพูนปัญญา

มันจะเห็นโดยการวินิจฉัยต่อไปว่า

เพราะมีรูป กองกิเลสทั้งหลายมันจึงเกิด

ถ้าไม่มีรูป กองกิเลสทั้งหลายมันก็ไม่เกิด

มันมีรูป เพราะมีเหตุปัจจัยของกระบวนการปรุงแต่ง

การปรุงแต่งมีเหตุปัจจัยมาจากผัสสะ

ผัสสะมีเหตุปัจจัยมาจากช่องต่อที่เรียกว่าตา

ตานี่เป็นอายตนะทางหนึ่งที่วิญญาณอาศัยเป็นช่องทางแห่งจักษุวิญญาณ

ถ้าไม่มีช่องทางนี้ โลกนี้ก็จะไม่มีรูปที่จะผัสสะทางจักษุ

เมื่อไม่มีรูป ความอยากแห่งรูปก็จะไม่มี

เมื่อไม่มีความอยาก การยึดมั่นในรูปก็ไม่เกิด

ความยึดมั่นในรูปไม่เกิด เหตุแห่งการเกิดความทุกข์ก็ไม่มี

ที่มี..เพราะมันมีจักษุวิญญาณเป็นเหตุของทั้งหมด

นี่..ช่องทางอื่นก็พิจารณาในนัยยะเช่นเดียวกันนี้

เมื่อรู้แล้วทั้งสองฟากทั้งมีและไม่มี ว่าผลเป็นอย่างไร

ปัญหาคือปัจจุบันมันมี

เมื่อมี ผลก็จะต้องปรากฏออกมาตามที่เราเข้าไปรู้เห็นในวิปัสสนาญาณ

นี่..ตรงนี้สำคัญต่อความเป็นจริง

เราจะอยู่อย่างไรกับความเป็นจริงที่มันมี ที่มันปรากฏ

ไม่ใช่อยู่กับความเป็นจริงที่มันไม่มี ตามวิปัสนาญาน

นี่…เราก็ต้องพิจารณาลึกในความจริงอันเป็นสิ่งที่ยืนยันใจเราละเอียดเข้าไปอีก..!!

ธรรมทั้งหลายนั้น มันต้องจับต้องด้วยปัญญาได้จริงๆ

ไม่ใช่ ปฏิบัติแล้วจับต้องได้แค่เงาแล้ววางตัวเป็นผู้รู้จักความจริง ด้วยการว่าง ไม่เอาอะไร.

พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง
วันที่ 9 ตุลาคม 2560