ชีวิตเราเป็นผู้ออกแบบเอง

ชีวิตเราเป็นผู้ออกแบบเอง

415
0
แบ่งปัน

*** “ชีวิตเราเป็นผู้ออกแบบเอง” ***

ขอสาธุคุณให้มีแต่ความสุขความเจริญ

ชีวิตนั้น เราพึงอยู่กับความเป็นจริง

ปัญหาคือ เราไม่รู้ว่าอะไรคือความเป็นจริง

ความเป็นจริงคือสมมุติอย่างหนึ่ง ที่เราใช้อาศัยเป็นเครื่องอยู่

เราอยู่กันอย่างไม่รู้ความเป็นจริงว่า

สิ่งที่เราจำได้หมายมั่น มันเป็นสัญญา

มันเป็นอาการหนึ่ง ที่ผ่านไปแล้ว

มันเป็นอากาศไปแล้ว

สัญญาดีๆมีมากมาย แต่เรามักหลงเอาแต่สัญญาไม่ดี มาเป็นฟืนเป็นไฟ มาเผามาทำร้ายจิตใจเราเองอยู่เสมอ

นี่เป็นการหลง

และหลงกับสิ่งเหล่านี้ อย่างไม่รู้ตัว

คนที่มีความหลงเช่นนี้เป็นเครื่องอยู่

ความถูกใจไม่ถูกใจมันก็ปรากฏแก่ใจตนให้ไหลไปในกระแสอยู่เสมอ

เมื่อถูกใจ ก็ชอบใจไปซะหมด

เมื่อไม่ถูกใจ ก็ไม่ชอบใจไปซะหมด

นี่บาลีท่านกล่าวว่า เป็นธรรมชาติของชาวบ้าน

ถูกใจนี่ เป็นกามสุขัลลิกานุโยค

ไม่ถูกใจนี่ เป็นอัตตกิลถานุโยค

ธรรมสองตัวนี้ เมื่อไหลไปในกระแสมากๆ ความทุกข์ทั้งหลายก็จะมาเยือน

เราหลงไปในกระแสสมมุติเหล่านี้ เพราะเอาอัตตาตนเข้าไปเป็นอาการธรรมชาติแห่งจิต

เราขาดผู้มีปัญญาชี้ทางธรรมที่ขึ้นตรงต่อความเป็นจริง

เราจึงเอาธรรมทั้งหลาย ด้วยการเอาตัวเราเข้าไปเป็น

ที่สำคัญ เราถอนและเข้าใจไม่ได้ด้วยตัวเรา

ว่าเรามันไหลไปในกระแสเหล่านี้อยู่ทุกวัน

นี่เป็นอาการหลงที่เราไม่เคยรู้ตัว

ปัญหาของเราก็คือ การแช่ในสิ่งที่รู้ และไม่แช่ในสิ่งที่รู้

เราไม่รู้ว่า การแช่ในสิ่งที่รู้ มันเป็น ตัณหาตัวหนึ่ง ที่เรียกว่า วิภวตัณหา

และการที่ไม่แช่กับสิ่งที่รู้ มันเป็นตัณหาที่มีมานะและทิฏฐิ

การหาทางออกกับสิ่งเหล่านี้นี่ เป็นเรื่องของปัญญา

ปัญญานี่เป็นแนวทางและเครื่องอยู่แบบพุทธะ

เราสร้างพุทธะขึ้นมาในใจได้แค่ไหน

ผู้มีพุทธะเกิดขึ้นมาในใจ

ท่านผู้นั่นมีดวงตาเห็นธรรม

การมีดวงตาเห็นธรรม

นั่นก็คือ มองเห็นตามความเป็นจริงในปัจจุบันที่เรากำลังผัสสะอยู่

ยามเช้าๆเช่นนี้ หายใจยาวๆ นั่งหลับตาสบายๆซักครู่

อยู่กับตัวเอง เอาความรู้สึกกายเป็นที่ตั้ง

ถ้าจิตใจมันเลื่อนไปทางใด เช่นความอยาก ความโกรธ อาฆาต

ความอยากได้นั่นนี่

เราตายตอนนี้มีสิทธิ์ไปต่ำ อย่างน้อยไปเกิดเป็นสัตว์

ถ้านั่งสบายๆอยู่กับอารมณ์เพ่งตนเอง รู้สึกอิ่มเอิบ สบายๆ ไม่มีเรื่องเศร้าหมองใดๆมารบกวนใจ

ใจเช่นนี้ มีหนทางไปสู่สุคติ พึงหมั่นย้อมใจบ่อยๆ

หลายสำนักชี้ว่า การนั่งนิ่งๆสงบๆ กรรมทั้งหลายจะหมดไป เป็นการแก้กรรม

เช่นนี้ เป็นคำชี้ที่ไม่ถูกไม่ตรง

การสงบนิ่ง เป็นการหยุดอยู่กับที่ เป็นการฝึกกำหนดใจ ไม่ให้ไหลสาดส่ายไปในกระแสปรุงแต่ง

ไม่ใช่เป็นตัวหยุดกรรม หรือเป็นตัวทำให้เป็นนั่นเป็นนี่

ไม่งั้นการนอนหลับกันทั้งปีทั้งชาติ ทุกคนก็คงจะหมดกรรมด้วยเช่นกัน เพราะไม่ได้ทำกรรมอะไร

ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ การปรุงแต่งแห่งใจย่อมมีไม่มีที่สิ้นสุด

ท่านจึงชี้ให้เลือกเดิน ระหว่างมรรคและสมุทัย

ถ้าว่ากันตามกระแสใจต้าน ฝืนไม่ได้นี่ เป็นสมุทัย ผลคือทุกข์

หากมีกำลังสติพิจารณาไปตามเหตุและผลก่อน ก็เป็นหนทางแห่งมรรค ผลก็คือสงบลง ไม่เร่าร้อน เรียกว่านิโรธ

พุทธศาสนานั้นชี้ความเป็นจริงให้เราเลือกออกแบบชีวิตเองแบบนี้

ไม่ได้ยึดหรือแช่กับสิ่งที่ตนกระทำหรือว่ากูรู้แล้ว

คนที่คิดว่าตนเป็นคนดีแล้วประเสริฐศรีแล้ว ไปดีแล้ว เข้าใจแล้ว บรรลุแล้ว เป็นอรหันต์แล้ว

นี่พวกนี่ หลงอัตตาทั้งนั้น เป็นเจ้าของวังวนแห่งสมมุติกำดักตน แช่อยู่กับสิ่งที่ตนเข้าใจว่าเป็น

มันเป็นวิภวตัณหาตัวหนึ่ง ที่เกิดจากการปรุงแต่งแห่งกาม เอาตัวตนเข้าไปเป็น

มันเป็นอุปกิเลสตัวหนึ่ง ที่คนที่เป็น เป็นกันโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะผู้อยู่ราตรีนาน มีความชำนาญในสิ่งที่ตนเป็น ที่เรียกว่า ครูบาอาจารย์

เราทั้งหลายมักโดน คนที่ทำตัวเป็นครูบาอาจารย์หลอกเอาอยู่เสมอ

เพราะแม้แต่ตัวครูบาอาจารย์เอง ก็ยังโดนตัวเองหลอก

โดนตัวเองหลอก ว่ากูรู้แล้ว

ที่สำคัญ…ตัวเองเสือกเชื่อซะด้วย ว่ากูคือครูบาอาจารย์ ที่ทุกคนที่เป็นมึงต้องฟังและเชื่อกู..!!

พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง
วันที่ 30 กันยายน 2560