แนวทางแห่งพุทธวิถี

แนวทางแห่งพุทธวิถี

320
0
แบ่งปัน

**** “แนวทางแห่งพุทธวิถี” ****

>> ขอถาม..พระอาจารย์ครับ ผมนั่งทำสมาธิแล้วได้ยินเสียงเรียกบ้าง เสียงคนสวดมนต์บ้าง เสียงดนตรีบ้าง เสียงเหล่านี้ มาจากไหนครับ

<< พระอาจารย์… เสียงทั้งหลายที่ได้ยินขณะทำสมาธินั้น เป็นปิติทางโสตวิญญาน เป็นอาการหนึ่งในการปรุงแต่งจิตแสดงออกมา

เสียงที่เกิดขึ้น ที่เราได้ยินนั้น เรานี่แหละปรุงแต่งขึ้นมาเอง แต่ก็มีเหมือนกัน ที่เกิดมาจากพลังงานนอกเหนือไปจากเรา ปรุงแต่งขึ้น

แต่ว่าเมื่อพิจารณาถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเกิดจากพลังงานภายนอก หรือจะเกิดจากภายในเราปรุงแต่ง

สิ่งที่เป็นเหตุ เกิดจากเราทั้งสิ้น เราเป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา แต่มันลึกเกินไปกว่า จะอธิบายให้ท่านเข้าใจด้วยตัวอักษร

สมัยหนึ่งข้าเองนั่งสมาธิอยู่ในถ้ำคนเดียว ข้านั่งสมาธิครั้งละหลายๆวัน มันดิ่งอยู่เช่นนั้น

สมาธิเช่นนี้ จะว่าไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรใดๆแก่การเกิดปัญญา

เป็นการทำสมาธิที่ไม่ใช่วิถีพุทธ เรียกง่ายๆว่าเข้าไม่ถูกทางแห่งแนวพุทธ

สมาธิที่ไม่เข้าแนวแห่งพุทธ มันก็จะเป็นสมาธิแห่งความสงสัยไม่รู้จบ

และจะติดพันแช่อยู่กับอารมณ์นั้นๆอย่างหาทางออกไม่ได้

การทำสมาธินั้น ใครก็ทำได้ แต่เป็นการทำแบบแช่อยู่ในอารมณ์ทั้งสิ้น ขาดปัญญาที่จะตรึกตรอง

แม้การตรึกตรองที่เราเรียกว่า วิปัสนานั้น เราก็ทำกันไม่ค่อยจะถูก

เราเอาอดีตบ้าง การท่องจำมาบ้าง หัวข้อธรรมบ้าง มาขบคิด มาพิจารณา

ที่จริงมันก็ถูก แต่เป็นการถูกแบบเบื้องต้น ถูกแบบสัญญาจำ ไม่ได้ถูกแบบตีธรรมแตกให้เกิดปัญญา

เรื่องเหล่านี้ มันลึกอยู่ซักหน่อย สำหรับผู้ปฏิบัติต้องการจะทำให้เกิดปัญญา

แต่ก็ไม่ยากเย็นนัก และดูตื้นๆหากมีผู้ชี้แนะที่เข้าใจ

แนวทางพุทธนั้น สำคัญคือความแยบคายแห่งจิต

คือเมื่อเกิดผัสสะทางอายตนะ ที่ไม่คุ้นเคย หรือสงสัย กำลังเผชิญ กำลังเป็น

ผู้ปฏิบัติต้องนำเอาภาวะนั้นนั่นแหละ มาพิจารณาตีความสอดส่งลงไปถึงเหตุถึงผล เท่าที่ปัญญามี

ไม่ใช่ท่องมา จำมา หรืออารมณ์นั้นผ่านไปแล้ว แล้วจึงนำมาพิจารณา หรือทำการวิปัสนาอะไรนั่น

มันจะเป็นสัญญาจำ มันไม่เกิดฉับพลันแห่งปัญญาญาน ที่เกิดการตีธรรมให้แตก

ธรรมที่โดนตีแตกเท่าที่ปัญญามี เมื่อได้กระทำบ่อยๆ ถึงจุดหนึ่งเหมือนน้ำเต็มแอ่ง

มันจะเกิดการตีความหมายทั้งหมด ที่เกิดจากประสพการณ์นั้น ด้วยตัวของมันเอง

มันอาศัยการวนรอบของปัญญาอันแยบคายแห่งการตีธรรมในกาลต่างๆนั่นแหละ รวมกันเป็นปัญญาญานที่ยิ่งใหญ่ หมุนไปรวมพลเข้าตีอวิชา

เรื่องเหล่านี้ มันเป็นเรื่องปัญญาญานของแต่ละคน มันไม่เท่ากัน มันเป็นปัจจัตตัง ที่ผู้ทำผู้ปฏิบัต เป็นผู้เข้าใจด้วยตัวเขาเอง

พวกเราปฏิบัติธรรมแบบนึกเอา คิดเอา ว่าอย่างนั้นว่าอย่างนี้ มันจึงวนอยู่ในแอ่งแห่งสัญญาจำไปซะ

ผู้เข้าถึงธรรมจริงๆ ความจำอะไรต่างๆมันไม่ค่อยมีซักเท่าใหร่ มีความจำ ธรรมจะไม่แตกออกมา

ธรรมที่แตกออกมา เป็นภาวะธรรมที่ไม่ได้เกิดจากการจำ ธรรมทั้งหลายนั้น เกิดจากการสอดส่งลึกลงไปด้วยปัญญาญาน

ซึ่งก็มีเหตุจากญานที่เกิดจากการตีความในกาลต่างๆอยู่เนืองๆนั่นแหละ

ธรรมทั้งหลายเมื่อผัสสะ มันจึงไหลวนออกมาไม่มีที่สิ้นสุด เรียกว่าธรรมเอกผุดด้วยปัญญาญาน

ธรรมเหล่านี้ เป็นธรรมแห่งมุตโตทัย เป็นธรรมออกจากใจ ที่ผุดออกมาไม่รู้จบ ไม่ใช่ธรรมแห่งการจดจำกันมาอย่างที่เราเป็นๆ

เป็นเรื่องยากที่ผู้คนทั้งหลายจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ที่ดูยาก เป็นเพราะผู้ชี้ ชี้ไม่ตรงตามแนวทางแห่งพุทธ

ผู้ได้ปัญญาญาน พระไตรปิฏกทั้งเล่มเข้าใจหมด แม้ไม่เคยอ่านเคยรู้เคยเห็นมาก่อน

สำหรับทางโลก เรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์แห่งธรรม

แต่ผู้เข้าถึงธรรมเช่นนี้ มันก็เป็นธรรมดาของมันเช่นนั้นแหละตามเหตุปัจจัย ไม่มีปาฏิหาริย์อะไร

ข้าเองเมื่อปฏิบัติอยู่ผู้เดียวในที่สงัด สงบจากผู้คน จากเครื่องร้อยรัดจิต

ข้ามักได้ยินได้เห็นรูปและเสียง รวมทั้งกลิ่น กายบวมพอง หรือระเบิดแตกแยกออกมา

แรกๆก็สำคัญผิด คิดว่าตนเองเป็น นั่งๆดนตรีก็มาบรรเลงขับกล่อม

มีเทพบุตรนางฟ้า ลงมาจัดเตรียมอาหารให้ มาเช็ดถูจัดระเบียบที่นั่งที่นอนให้

หนักๆเข้า นึกอะไรก็ได้อย่างนั้น นี่..สิ่งเหล่านี้ เป็นอาการปรุงแต่งจากจิตเราทั้งสิ้น

หากไม่มีความแยบคายจิต ผู้ปฏิบัตก็จะไหลไปในกระแสปรุงแต่งเหล่านี้ ว่าเราเป็น

เมื่อยึด มันก็จะเพลินอยู่เช่นนี้ มันก็จะไปไม่ถึงมรรคผล

ไม่ยึด แต่ปล่อยให้มันเกิดไปเช่นนี้ มันก็ไปไม่ถึงมรรคผลเช่นกัน

ธรรมเหล่านี้ มันอยู่ในขั้นของผู้ปฏิบัติทางจิต พวกเราคงยากที่จะเกิด

แต่พึงจำเอาไว้เถิด ไม่ว่าจะเกิดอะไร มันเป็นการปรุงแต่งทางภวังค์ที่อาศัยแสดงออกทางอายตนะทั้งสิ้น

ท่านเรียกว่าอาการปิติจิต ปิตินี่ หมายถึงการปรุงแต่งที่แสดงออกมา

ปิติทาง มโนวิญญานก็มี

ปิติทาง กายวิญญานก็มี

ปิติทาง โสตวิญญานก็มี

ปิติทาง จักษุ ทางฆานะ ทางชิวหาวิญญาน มันก็มี

ถ้าเราไม่มีผู้ชื้ เราก็จะหลงอยู่ในอาการเหล่านี้ หาทางออกไม่ได้

เมื่อหาทางออกไม่ได้ มันก็จะหลงกลลวงเหล่านี้ ด้วยความเข้าใจว่ากูเป็น

และมันจะเป็นด้วยความหลงเช่นนี้ตลอดชีวิต

การทำสมาธิในวิถีพุทธนั้น มันใช้ปัญญา สติ สัมปชัญญะ ในการดำเนินทาง

เมื่อเกิดอาการปิติจิต และรู้จักว่านี่เป็นอาการปิติจิต

ผู้มีแนวทางแห่งพุทธวิถี จะกลับมาตั้งต้นเริ่มที่วิตกใหม่อยู่เสมอ

การทำสมาธิถึงจะมีกำลังเข้าไปสู่ จตุตถฌาน อันเป็นฌานสูงสุดในรูปฌาน

ผู้เข้าถึงจตุตถฌาน จะมีกำลังแห่งฌาน ให้เกิดญานแห่งบุพเพนิวาสาได้

ญานที่เกิดบุพเพนิวาสา สำหรับผู้ที่มีปัญญา

จะเป็นญานแห่งร่องทางดำเนินไปในวิถี เตวิชโช คือวิชาสาม สำเร็จมรรคผลในขั้นปัญญาญาน ทั้งเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติได้

เสียงจากภายใน ยังไม่ได้อธิบายให้ลึกลงไปโดยละเอียด แต่วันนี้พอแค่นี้ก่อน

เมื่อมีโอกาสจะขยายออกมาให้ฟังโดยพิศดาร ขอสาธุคุณสวัสดี

พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง วันที่ 11 กันยายน 2560