>> ลูกศิษย์ : อารมณ์ตัวโคลง..ตัวโต ตัวเล็ก ตัวลอย..ตัวหาย..ไม่หายใจ..เเสงสว่าง.โยกจนหมุนก็มี..เเต่ล่าสุดอยู่ดีๆมีเสียงดังวิ้งงงงงง.ในหูข้างซ้าย.ดังมากๆ..พร้อมกับรู้สึกว่าจิตมันเดินทาง..คล้ายๆ นั่งในยานไปในอวกาศเเบบนี้ครับ.อยู่ประมาณเกือบหนึ่งนาที.รู้สึกกลัวนิดๆ.เคยได้ยินอาจารย์ท่านอื่นๆ ว่า.อย่าสนใจ.รู้อยู่..เเต่ในใจก็หวั่นๆ.ห้ามไม่ได้เลย.เลยพยายามตั้งสติ..เเต่เเล้วเสียงวิ้งงงๆๆ ในหูเริ่มเบาลงกับจิตที่มันเดินทาง..ช่วงนี้เเม้เเต่ออกสมาธิ.ก็ได้ยินเสียงเเปลกๆ เช่นเสียงสวดมนต์..เสียงดนตรี..บางทีได้ยินคนพูดอยู่ไกลๆ.พยายามตั้งสมาธิจับเสียงนั้น..มันก็ได้ยิน..เเต่ละครั้งที่ผมจะได้อารมณ์เเบบนี่..มันต้องผ่านเวทนา.ปวดเเทบตาย..เเล้วคิดว่าร่างกายเรานี่มันขยะ..ห้ามเจ็บ ห้ามป่วย ห้ามเเก่ ห้ามตายก็ไม่ได้.ตายๆ ไป..มันก็เข้าสู่ภวังค์สมาธิได้ทุกครั้ง.เเละจะเป็นช่วงหนึ่งเเล้วค่อยถอยมาๆ..จนธรรมดา.ก็เลิก..พอจะนั่งอีกถ้าใจคิดอยากเป็นเเบบนั้นอีก..ก็ไม่ได้เเล้วครับพระอาจารย์…
<< พระอาจารย์ : ชโย จึงตั้งธรรม
อาการต่างๆ ที่เป็นที่เกิดในสภาวะจิต ล้วนเป็นการปรุงแต่จากสังขา
เพราะสรรพสิ่ง ที่ผัสสะทั้ง รูป รส กลิ่น เสียง อะไรต่ออะไร ล้วนสมมุติ
แต่ในสมมุตินั้น เราเป็นเจ้าของอยู่
เมื่อสติได้ผัสสะกับการปรุง
เป็นธรรมดาที่สัญญาจะทำหน้า
อาศัยความไม่รู้เป็นเหตุ แต่หากใจตั้งมั่น และได้รับการอบรมจิตมาดีพอ
สิ่งเหล่านี้เจ้าของก็ย่อมร
เมื่อเคยชินกับผัสสะ และใจมันวาง
สิ่งเหล่านี้ถึงเกิดมันก็ไม
>> คำถาม : กราบนมัสการพระอาจารย์เจ้า อาการที่เวลาเรานั่งสมาธิแล
<< พระอาจารย์ : Janthorn …
อาการเหมือนหลับแต่ไม่ได้หล
สติมันหายเป็นช่วงๆ ก็มี มันสบายๆ ก็นั่งได้นาน แต่ก็ได้แค่นั่ง
การทำสมาธิจิต สติมันรู้เป็นสัมปชัญญะตลอด
เหมือนเราเอาก้อนหินหรือเหร
เราจ้องเพ่งไปยังเหรียญใดเห
ซักพัก อีกเหรียญก็จะหายไป ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงมันก็ไม่ได้
ที่เจ้าของรู้สึกว่าหาย มันเป็นเรื่องของสติที่ไปจั
ที่มันหดตัวเข้ามา โดยไม่รู้ว่า มันเป็นเรื่องของจิต ที่ตัดความสำคัญรอบๆ ในวัตถุที่เพ่ง
จิตมันหดตัวของมันเอง สติเป็นแค่เครื่องตามรู้ ในอาการแห่งจิต มีเจ้าของการระลึกได้ ว่า มันไม่มี ทั้งๆ ที่มันก็มี
จิตที่หดตัวแคบๆ เข้ามา ๆ จนเหลือแต่อุเบกขากับการผัส
อายตนะคือช่องทางรับรู้ในกา
มันก็ยังมีสติที่ลอยเด่นอยู
นี่..เป็นภาวะสูงสุดแห่งรูป
จึงอธิบายได้ว่า อาการที่ท่านเป็น มันเป็นอาการแห่งจิต ที่สติกำลังยังอ่อนอยู่
แต่บางคนจิตเข้าถึง อัปปนาสมาธิ นี่..ทุกอย่างก็ดับลงหมดเช่
>> คำถาม : หากแสงสว่างสีขาวจ้ามากจนตา
<< พระอาจารย์ : คำว่าแสงสว่างแห่งดวงจิตหรื
แต่ที่อธิบายกัน ส่วนใหญ่อ่านมา จำมา และใช้เหตุใช้ผลของตัวตนคิด
แม้แต่บางคนที่เคยผัสสะ ก็ยังให้นิยามตามความเป็นจร
เป็นเหมือนนักเดินทางที่หลง
เพราะที่เห็น มันเป็นแค่หลงทางเข้าไป ไม่ได้เป็นผู้รู้จักทาง
พวกนี้ พูดเท่าไหร่ ก็เดาเท่านั้น หากตนเองไม่เคยผัสสะ ย่อมพูดไม่ตรงตาม
และที่สำคัญ อาการแสบตาเป็นเวทนาสมมุติ ภูมิเพิมอะไรจะไปสูงต่ำ เอาอาการปรุงมาเป็นแก่นแท้ข
>> คำถาม : กราบนมัสการยามเช้าเจ้าค่ะ พระอาจารย์อ่านธรรมะท่านแล
<< พระอาจารย์ : Bunyaporn Insamran
การยังอยากเกิด เป็นธรรมชาติของผู้ที่ไม่ปร
และปัญญาที่สร้างสมมา มันให้ผลหนักมาทางด้านพอใจอ
การเกิดอีก มีรูปใหม่เป็นเรื่องของความ
จะสุขสบายยังไงแค่ไหน ก็ไม่ใช่เรา
ความเป็นเรา มันมีแค่อัตภาพนี้อัตภาพเดี
คำตอบก็เห็นๆ อยู่ในโจทย์ว่า ชาติที่แล้ว เป็นใครก็ไม่รู้ จำอะไรที่คิดว่าเป็นเราได้ไ
เป็นหมาเป็นหมูเป็นแมวรึเปล
แล้วชาติหน้า หากเกิดเป็นเป็นไส้เดือน จะว่าไง มันมีสัญญาณอะไรจะมาบอกเราว
ตัวเรา จะกลับมาเกิดเป็นคนที่เสวยส
แม้เกิดเป็นคน เราจะไปเป็นเราได้อีกหรือ ในเมื่อชาติที่แล้ว
เรายังไม่รู้เรื่องราวอะไรเ
ทำชาตินี้ให้ดีที่สุดเท่าที
่ปัญญามันอบรมใจได้เถิด จะเกิดหรือไม่เกิด ยังไงชาตินี้ เราก็ต้องตาย
>> คำถาม : กราบนมัสการครับพระอาจารย์ สาธุธรรม อันเพิ่มความกระจ่างในใจครั
เกิดจากใจที่มีตัณหาผุดขึ้น
<< พระอาจารย์ : ก้องภพ เคารพธรรม..
กิเลสตัณหา เป็นสภาวะธรรมแห่งเหตุปัจจั
กิเลสคือความอยาก ไม่อยากและเฉยๆ เหล่านี้ล้วนเป็นกิเลส
กิเลสเป็นสภาวะธรรม ที่อาศัยการปรุงแต่งแห่งจิต
เพราะเหตุแห่งอวิชชามี จิตสังขารคือการปรุงแต่งจึง
การปรุงแต่งนี้อาศัยผัสสะที
เมื่อผัสสะมี เวทนาจึงมี อาศัยเวทนาเป็นเหตุ ตัณหาที่เกิดจากเวทนาจึงมี
เพราะตัณหามี เป็นเหตุให้เกิดกิเลสที่มั่
นี่..เป็นสภาวะธรรม ที่เป็นธรรมดาแห่งเหตุปัจจั
เรากำหนด ลด ละ เลิก ตัณหาที่ผุดขึ้นมาจากใจไม่ร
>> คำถาม : ถ้าดับตัณหาได้ ก็จะไม่เพิ่มกิเลส ใช่ไหมครับ
<< พระอาจารย์ : ตัณหาดับไม่ได้ ก้องภพ เคารพธรรม
ที่เขาเรียกว่าดับได้ เกิดจากความเข้าใจว่ามันเป็
มันอาศัยเหตุปัจจัยเกิด ที่มันเกิด มันเกิดจากการปรุงแต่งอันเป
เพียงแต่เกิดมาแล้ว เจ้าของ เลือกที่จะดับหรือเลือกที่จ
หากก่อ ก็เป็นสมุทัย ดำเนินไปตามทางแห่งมิจฉา ผลก็คือทุกข์
หากดับ ก็เป็นหนทางแห่งมรรค ดำเนินไปตามทางแห่งสัมมา ผลก็คือสงบ เรียกนิโรธะ
ตัณหา มันเกิดจากผัสสะทางอายตนะ ที่มีสัญญาของมันมาแต่เดิมแ
>> คำถาม : ธรรมะล้วนๆ เลยขอรับหน้านี้ จิตมุ่งสู่ภายในกาย แต่ต้องทำงานและปรึกษาพูดคุ
<< พระอาจารย์ : ไม่เข้าใจคำถามของ จริงฤา นะครับ ว่าอาศัยเหตุจากเจตนาอันใด
การที่เราจะทำงาน เช่น พูดคุย ขับรถ เขียนหนังสือ หรือทำอะไร
ธรรมชาติของผู้มีสมาธิ ก็ย่อมปักไปอยู่กับการ มุ่งมั่นในอาการที่กระทำนั้
หากหลุดออกจากสภาวะนั้น ก็เรียกว่า ตกจากสิ่งที่ตั้งไว้ ความคมชัดแห่งการงานก็ไม่คม
หากหมายถึงการมีสติตามดูตาม
หากต้องการรู้อารมณ์ภายใน ก็ต้องวางผัสสะนอก
หากจะพูดกับคนด้วย จะขับรถด้วย จะทำงานด้วย จะท่องหรือบริกรรมอะไรด้วยน
สมาธิก็ต้องกระทำเป็นอย่างๆ
ไม่ใช่ขับรถไปด้วย ดูลมหายใจไปด้วย หรือท่องพุทธโธไปด้วย ไม่ใช่อย่างนั้น
ทำเช่นนั่น ไม่ถูกกาล กลับไปกลับมาไม่เป็นอารมณ์เ
ใจมันพะวงอยู่เป็นสอง ขับรถก็มีสติยู่กับการขับรถ
ไม่ต้องไปดูลมหายใจ หรือมัวแต่ท่องพุทธโธ
คำว่าอยู่กับพุทธโธนี้ หมายถึงการมีสติในสิ่งที่จะ
>> คำถาม : ผมพอเข้าใจนิดๆ หน่อยๆ แล้วครับ เมื่อคืนขับรถกลับจากบุญญพล
<< พระอาจารย์ : คงเข้าใจแล้วนะแปง ว่าเมื่อเราจดจ่ออยู่กับสิ่
เรียกง่ายๆ ว่า มันไม่รำคาญใจ นี่..เป็นจิตที่มีสมาธิ เป็นขณิกสมาธิ มุ่งในสิ่งที่ตนเองกระทำอยู
องค์แห่งฌานก็เหมือนกัน
วิตก วิจารณ์ยังคงมีอยู่ แต่มันหดตัวไม่รำคาญ มันมุ่งหมายแต่ในอาการแห่งป
เมื่อหดตัวจากปิติ เพราะไปมุ่งแต่สุข ปิติย่อมมีอยู่ แต่มันไม่รำคาญ มันไปมุ่งหมายแต่สุข
เมื่อหดไปถึงอุเบกขา สุขนั้นก็มีอยู่ แต่มันไม่รำคาญ มันมุ่งหมายไปสู่อุเบกขา แต่สติยังพร้อมอยู่ และเด่นโพลนสว่างจ้า ด้วยสัมปชัญญะที่ไม่มีสิ่งใ
รูป รส กลิ่น เสียง ผัสสะ ..เป็นเสี้ยนหนามแห่งปฐมฌาน
วิตก วิจารณ์ เป็นเสี้ยนหนาม แห่ง ปิติ
ปิติ เป็นเสี้ยนหนาม แห่ง สุข
สุข เป็นเสี้ยนหนามแห่ง อุเบกขา
อุเบกขา เป็นเสี้ยนหนามแห่งปัญญา
ปัญญา เป็นเสี้ยนหนาม แห่งอวิชชา
อวิชชา เป็นเสี้ยนหนามแห่งการออกจา
วัฏฏะ เป็นเสี้ยนหนาม แห่งการเข้าสู่นิพพาน..
พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง อาการจิตในสมาธิ
ณ วันที่ 15 กันยายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง