ความจริงจากมุมมืดๆ

ความจริงจากมุมมืดๆ

340
0
แบ่งปัน

***** “ความจริงจากมุมมืดๆ” *****

สมัยหนึ่ง ณ.มุมมืดๆส่วนหนึ่งของถ้ำ ข้านั่งอยู่ตรงนั้น

จะหลับตาหรือไม่หลับตา มันก็มืดอยู่อย่างนั้น

มันนึกถึงความตาย..

คนตาย มันจะดำเนินไปในหนทางไหนหนอ..!!

บ้างก็บอกว่า ไปสวรรค์ บ้างก็บอกว่าไปนรก บ้างก็บอกว่าไปนิพพาน บ้างก็บอกว่าไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า

ข้านี่นั่งอยู่มืดๆอย่างนั้นมาหลายวันแล้ว

มันเห็นการวนเวียนของความหิว ความง่วง

และอาการต่างๆแห่งกายเป็นรอบๆไป

ร่างกายเรานั้น มันเป็นเครื่องมือให้การปรุงแต่งผ่านกาย ที่เรียกว่าเวทนามันปรากฏ

มันปรุงแต่มาจากจิต..

เมื่อถอยความเป็นตัวตนออกมาดู มันก็จะเห็นการแสดงแห่งกายที่เวทนามันปรากฏ

เวทนานี่ มันไม่มีใครเป็นเจ้าของ มันเป็นอาการหนึ่งที่แสดงออกมา ตามการปรุงแต่งของจิต

จิตนี้ไม่ใช่เราเข้าไปนึกคิด

เรานี่..เป็นอาการหนึ่งของจิต เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรม ที่มีหน้าที่รับรู้เวทนาเหล่านั้น

ทีนี้..เมื่อจิตมันปรุงแต่งออกมา มันอาศัยช่องต่อคือ อายตนะ ที่เราเรียกกันว่า ตา หู ลิ้นฯ เป็นเครื่องปรากฏ

ผู้รู้การปรากฏเหล่านี้จากเครื่องปรุงก็คือเรา

มันปรุงเสร็จแล้วมันจึงปรากฏเป็นเวทนาให้เรารู้

เวทนาที่ปรุงมันอาศัยผัสสะ

ผัสสะที่เกิดขึ้นในมุมมืดๆของถ้ำนั้น มันเป็นผัสสะทางกายวิญญาน

จิตมันปรุงผ่านกายวิญญาน จนเกิดความรู้สึก ว่าหิว ว่าง่วง ว่าเมื่อย ว่าร้อน ว่าหนาว มันก็ว่าๆๆๆของมันไป

มันปรุงเพื่อรักษารูปไปตามหน้าที่

มันปรุงโดยไม่มีใครเป็นเจ้าของ

ข้านั่งอยู่นิ่งๆในมุมมืดๆนั้น ไม่ต้องเห็นแสงเห็นตะวัน

มันเห็นรอบแห่งการปรุงแต่งแห่งจิตอย่างชัดเจน

ข้ากินข้าวราวเก้าโมงครั้งเดียว ความหิวจะมาเยือนแค่ครั้งเดียว

เมื่อถึงเวลา จะมีนาฬิการึไม่มีนาฬิกา มันก็ปรุงอาการหิวขึ้นมา

นับจากวันแรกที่เข้ามานั่งตรงมุมมืดๆนั้น มันผ่านการวนรอบแห่งการหิวมาหกครั้งแล้ว

เมื่อยนี่นับไม่ถ้วน ง่วงนี่พอๆกับหิว ข้าแค่ตั้งสติทนกับมันและดูมันเกิด

เวทนาทั้งหลายเกิดแล้วก็ดับ เมื่อถึงรอบของมัน มันก็เกิดของมันขึ้นมาไหม่

ธรรมชาติของจิตเรามันเป็นอย่างนี้ มันปรุงของมันไปตามเหตุปัจจัยที่เคยย้อมมันมา

ย้อมเช่นไร มันก็ปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัยที่เคยๆอยู่เช่นนั้น

และเรานี่แหละ ที่เข้าไปเป็นเจ้าของมัน

ข้าค้นพบความจริงหลายอย่างในมุมมืดๆแห่งนั้น

เราหลงกาย เพราะเราไม่รู้ว่ากายนั้น มันไม่เกี่ยวกับเรา

เราหลงเวทนา เพราะเราไม่รู้ว่า เวทนานั้น มันไม่เกี่ยวกับเรา

เราหลงอาการแห่งจิต เพราะเราไม่รู้ว่า จิตนั้นมันก็ไม่ใช่เรา

เราเอามโนไปเป็นจิต มุมมืดๆตรงนั้นเห็นชัดว่าจิตไม่ใช่มโน

มโนมันเป็นอาการแห่งจิตที่ปรุงแต่งขึ้นมาผ่านทางความรู้สึกภายใน ที่เราเรียกว่าใจ

ใจนี่เป็นอารมณ์ ที่ปรุงแต่งมาจากจิต มันไม่ใช่ตัวจิต

มันเป็นตัวรู้เวทนาทุกช่องทางแห่งกาย ที่จิตมันปรุงแต่งออกมาสำเร็จผลแล้ว

การนั่งดูการแสดงในมุมมืดๆแต่เพียงผู้เดียว

มันจะเห็นโรงละคอนแห่งชีวิตที่มันแสดงเรื่องราวอะไรต่างๆออกมามากมาย

ชีวิตนั้นมันมีเส้นชัยของมัน

ที่สุดแห่งชีวิต มันคือการดับไปของการปรุงแต่ง เราเรียกว่าความตาย

จิตนั้น มันปรุงแต่งของมันไปไม่รู้ไม่ชี้ตามหน้าที่ของมัน

เรา..เป็นอาการหนึ่งของจิต เราก็เป็นเจ้าของอาการไปตามหน้าที่ของมันที่ได้รับการปรุงแต่งมา

การเห็นความจริงว่า ธรรมชาติมันมีอาการของมันไปตามครรลองเช่นนี้

การทวนกระแสแห่งธารโปรแกรมที่ใหลหลั่งออกมาตามธรรมชาติของมัน

จึงเป็นความศิวิไลย์ที่แตกต่างออกไปจากภูมิแห่งสัตว์

เรานั้น..ห้ามการปรุงแต่งไปตามหน้าที่ของจิตที่ปรุงแต่งผัสสะไม่ได้

แต่เรา..ห้ามไม่ให้มันสื่อและแสดงออกมาได้

เราห้ามไม่ให้มันกระทำขึ้นมาได้

อะไรควรไม่ควร มันเป็นกฏหมายของสังคม

เราอยู่กับสังคม เราก็ว่ากันไปตามเหตุปัจจัยของสังคม

พุทธศาสนาชี้ให้เห็นต้นเหตุแห่งการเกิดทั้งหลาย

เหตุทั้งหลายทั้งสุขและทุกข์เกิดจากจิตดวงนี้ ที่มันปรุงแต่งออกมายามผัสสะ

สิ่งที่ปรุงแต่งล้วนเป็นสมมุติ

สุข ทุกข์ ชั่ว ดี เลว เป็นสมมุติ

และเราต่างยึดสมมุติเหล่านี้เป็นเครื่องอยู่ด้วยความหลงไปกับการปรุงแต่งอาการของมัน

วิมุติ..เป็นชื่อของผู้รู้จักสมมุติ

ปราชญ์ผู้เข้าถึงวิมุติ ก็เป็นผู้ที่อยู่และใช้สมมุติอย่างตรงตามความเป็นจริง

คนกินมังคุดทั้งเปลือกด้วยความไม่รู้ ไม่ใช่คนโง่

เขาแค่โง่ด้วยความไม่รู้ตรงตามความเป็นจริง

ผู้ที่รู้ว่าการกินมังคุดทั้งเปลือกนี่มันเป็นความโง่

เขาย่อมเลือกที่จะกินเนื้อไม่กินเปลือก

แต่ความฉลาดเช่นนี้ ต้องไปอยู่ในรูคนเดียว เหมือนข้าที่นั่งแต่เพียงผู้เดียวในมุมมืดๆ

ปราชญ์ผู้รู้จักมังคุดว่ากินทั้งเปลือกนั้นเป็นเรื่องโง่

ปราชญ์เหนือปราชญ์ ท่านเลือกที่จะกินอย่างโง่ๆด้วยการกินมังคุดทั้งเปลือก เมื่อท่านต้องอยู่กับสังคม

ณ.มุมหนึ่งที่แสนมืดในรูถ้ำ ความจริงบางอย่างมันปรากฏสว่างแจ้งขึ้นมา

ความจริงนั้นแม้จะสว่างแจ้งแทงใจแค่ไหน และเป็นจริงเช่นไร

ความจริงที่ยิ่งไปกว่าความจริงที่เห็นความจริงเหล่านั้นก็คือ

มึงต้องออกไปจากรูแห่งความจริงหาแดก และเผชิญกับความห่วยแตกในสังคม ถ้ามึงยังมีชีวิต..

พระธรรมเทศนาวันที่ 6 กรกฎาคม 2560 โดยพระอาจารย์ ธรรมกะ บุญญพลัง