ความทุกข์ ไม่เลือกขี้หน้าใคร

ความทุกข์ ไม่เลือกขี้หน้าใคร

372
0
แบ่งปัน

**** “ความทุกข์ ไม่เลือกขี้หน้าใคร” ****

หวัดดี…

ฟังพระสวดมนต์ท่ามกลางฝนพรำ

ฝนพรำแบบนี้

ทำให้ข้านึกถึงอะไรบางอย่าง

สมัยหนึ่ง ข้าเคยอยู่ท่ามกลางเม็ดฝนพรำเช่นนี้แหละ ในป่าคนเดียว

อยู่ใต้ต้นไม้ ติดลำธาร

มองไปทางไหนก็มืดมิด ที่สำคัญ มันหนาวจนฟันกระทบกันดังกึ๊กๆๆๆ

ตัวเปียกไปด้วยน้ำฝน ไม่มีส่วนไหนแห้งเลย

นั่งสั่นกึ๊กๆๆๆอยู่โคนไม้อย่างนั้น

ความจริงเวลาเราปฏิบัติจริงๆนี่ มันทุกข์มาก

ฝนพรำทั้งคืนนั่งกันยันเช้า

เหน็บกินแล้วกินอีก เวทนามันหนาแน่นจนไม่เป็นสมาธิ

สิ่งเดียวที่ประคองใจอยู่ได้นั่นก็คือ การเห็นความเป็นจริงที่ว่า

เครียดก็ทุกข์ ไม่เครียดก็ทุกข์

นอนก็ทุกข์ นั่งก็ทุกข์ ยืนก็ทุกข์

มันทุกข์จากความหนาวเหน็บ ชื้นและเปล่าเปลี่ยว

วันที่ฝนพรำนี่เป็นคืนวันอันแสนสาหัสสำหรับพระธุดงค์

มันอยู่แช่กับความทุกข์เหล่านั้น จนความหนาวหาย

ความเจ็บปวดรวดร้าวทางกายหาย

ธรรมชาติแห่งจิต มันจะปรุงไปสู่อีกด้าน

ถ้าหากเรากล้าที่จะเผชิญกับมันอย่างไม่ย่อท้อ

นี่เป็นความจริงที่ข้าได้เผชิญ โดยไม่ต้องใช้วิปัสสนาญาณอะไร

ธรรมชาติแห่งจิต มันมีการปรุงแต่งที่แสนพิศดาร

เป็นแต่ว่าเรา..เข้าถึงมันรึเปล่า

พวกเราเป็นเด็กน้อยเรื่องของจิตมาก

ไม่เข้าใจเอาซะเลยเชียวล่ะ

เรามันเป็นเจ้าของ เป็นตัวตนในทุกๆ อย่าง

เป็นแม้เจ้าของธรรมทั้งหลาย ที่ผ่านอายตนะ

ใครแตะต้องไม่ได้ ใจเป็นฟืนเป็นไฟ

แต่นั้นแหละ มันเป็นธรรมดาของมันอย่างนั้น

เราจึงก้าวมันไปไม่พ้น

ที่ดอยแม่สะงะ เชียงใหม่

น้ำที่นั่นเย็นมาก ข้าตักจ้วงอาบในยามเช้าที่แสนหนาวนั่น

ภาวะจิตมันลั่นเปรี๊ยะเลยทีเดียว เหมือนทุกอย่างวิ่งเข้าไปสู่ความมืด

มันไปทำลายโปรแกรมเดิมๆ ของมันด้วยการกระทำที่ไร้รูปแบบ

ข้าวางใจเป็นกลาง มือก็จ้วงน้ำในโอ่งตักราดตัวไป

ทุกสิ่งทุกอย่างมันเหมือนมารวมตัวอยู่ในตำแหน่งเดียว

คือความรู้สึกที่ไม่รับรู้สัมผัสกับความหนาวเย็นอะไรอย่างตอนแรก

มันรู้สึกถึงพลังความร้อนแห่งเตโชธาตุกำลังเปลี่ยนปฏิกริยา

น้ำที่ราดรดลงไปนั้น เหมือนไร้ความหนาวเย็น

ข้าตักราดลงไปเรื่อยๆ ความรู้สึกหนาวเย็นมันหายไป

จิตมันหดตัวมารวมอยู่กับความเป็นกลาง

มันไม่ออกไปทำงานตามช่องต่อที่เรียกว่าอายตนะ

หูไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้นแม้แต่เสียงน้ำรดตัว

กายก็ไม่รู้สึก มีแต่สติที่ระลึกอยู่กับตัวเอง

นี่..มันเกิดความว่างขึ้นมาท่ามกลางความหนาวเหน็บนั้น

เรื่องอย่างนี้ ข้าเป็นบ่อย เป็นเพราะเอากายเข้าไปทดสอบนี่แหละ

ไม่ได้นั่งคิดนั่งอ่านเอาเองเหมือนคนทั่วไป แล้วทึกทักเอา

จริงๆ แล้ว กายเรานี้ มันไม่รู้ไม่ชี้อะไรอยู่แล้ว

เป็นแต่เพียงพวกเรามันไม่เคยรู้จักมันด้วยตัวของเราเอง

เราจึงไหลลงไปในกระแสแห่งตัณหา

แต่ข้ารู้จักมัน…

ข้าจึงมีที่ยืนอยู่ท่ามกลางความทุกข์น้อยใหญ่ที่บีบคั้นจิตใจได้

การผ่านเส้นทางสายโหดๆ จะทำให้เรารู้จักความจริงของชีวิตที่เราเกิดมาได้ดีกว่านั่งเกวียนเทียมวัว ในการเดินทาง

ประสบการณ์ทางจิต มันจะเป็นตัวบ่งบอกคุณธรรมและจิตใจของผู้ได้ผ่านเส้นทาง

ข้าไม่ได้หวังให้ใครต้องมาเจริญรอยตาม

แต่วันหนึ่ง ข้าต้องจากไป…

จะมีใครหนอ จะมาอธิบายเรื่องจิตได้อย่างทุกคนลูบคลำได้ด้วยปัญญา

วันหนึ่งต้องจากกัน วันที่ต้องจาก

สำหรับใจที่อ่อนแอ มันย่อมเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

และเรา..ก็จะเป็นเจ้าของความเจ็บปวดนั้น

ความเจ็บปวดทั้งหลายนั้น มันก็ไม่มี

เช่นกัน.เมื่อข้าหยุดตักน้ำจากโอ่ง เพื่อจะถูสบู่

ความหนาวเหน็บและหนาวเย็นสุดขั้วหัวใจ มันก็ก่อรูปขึ้น

นี่..ธรรมชาติของมัน เมื่อถึงจุดหนึ่ง

มันก็จะกลับไปทำหน้าที่ของมันเป็นธรรมดา

และอาการธรรมดาของมันนี่แหละที่ทำหน้าที่

ข้าจึงหยุดไม่ถูสบู่และเดินออกมาจากห้องน้ำมันซะ

เพราะถ้าถู ความหนาวเหน็บเย็นกาย ยังกะเข็มเป็นร้อยเป็นพันวิ่งทิ่มเข้าไปในกาย

มันก็จะก่อหน้าที่มันอีกตามธรรมชาติ ข้าจึงเลือกหยุดซะ

นี่..แม้แต่ข้าที่เข้าใจมัน

ข้าก็ยังต้องตกอยู่ในกระแสแห่งอำนาจของหน้าที่มัน

และนี่.. เป็นความจริงที่ทุกคนต้องเผชิญ

ไม่ว่าจะรู้แจ้งหรือมืดทึบอับเฉาเบาปัญญา

เราทุกคน มีความเสมอภาคกันเหมือนกันทุกคน ในการที่ต้องเผชิญทุกข์

ปุถชนก็ทุกข์อย่างปุถุชน อรหันต์ก็ทุกข์อย่างอรหันต์

ความทุกข์ทางกาย อาศัยเวทนาที่เกิดจากใจ นี่เป็นธรรมดาของการมีชีวิตเกิดมา

ถ้าเรารู้จักมัน เราก็จะมีที่ยืนอยู่กับความจริงบนโลกใบนี้ได้อย่างแข็งแรง

หวัดดี…

พระธรรมเทศนา โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง วันที่ 31 พฤษภาคม 2560
ณ พุทธอุทยานเกาะกลางน้ำบุญญพลัง จ.กาญจนบุรี