ผลกับญานทัศนะที่เกิดจากเนสัชชิ

ผลกับญานทัศนะที่เกิดจากเนสัชชิ

363
0
แบ่งปัน

**** “ผลกับญานทัศนะที่เกิดจากเนสัชชิก” *****

หวัดดีๆ ยามบ่าย

ข้านี่เจอเหล่าพระที่ไม่นอนกลางคืน แต่มาแอบหลับกลางวันแทน แล้วบอกว่า นี่เป็นการปฏิบัติ เนสัชชิก หลายคน

จะบอกว่า มันไม่เกิดประโยชน์อะไร เป็นแค่เปลี่ยนเวลาพัก ก็เกรงเขาจะเสียกำลังใจ

ก็เลยต้องชมว่าดีๆๆๆ ขัดใจไป เขาก็ไม่ฟัง เพราะเขาเห็นว่า นี่เป็นหนทางที่ถูกต้อง

และท่านเหล่านั้น ก็ต่างพาชี้สอนสาวกตน เป็นแบบนั้นซะด้วย

แม้จะไม่ถูก แต่ข้าก็ถือว่า เขาได้ปรารภความเพียร แม้จะดูโง่ๆ ก็ตาม

ดีกว่า ไม่ทำอะไรเลยในการปฏิบัติภาวนา

เมื่อเช้านี้อธิบายให้เหล่าพระฟังถึงเรื่องเนสัชชิก

เพราะพระเรานอกจากเนสัชชิกแล้ว ยังงดอาหารด้วย

นี่เป็นการปฏิบัติอย่างอุกฤษฎ์เลยทีเดียว

เราได้อะไรจากการกระทำเช่นนี้

นี่..คือโจทย์ที่เราต้องรู้คำตอบในการกระทำ

โจทย์แห่งการกระทำนี้ ต้องให้ผู้รู้อธิบาย

และที่สำคัญ ผู้กระทำที่กำลังปฏิบัติตนอยู่ จะเข้าใจได้ทันที

แต่ผู้ที่แค่รับฟัง มันก็ฟังกันไปแบบน้ำราดหัวหมา

และต่างพากันตรึกนึกคิดเอาเอง

แต่ไม่เคยเอาตัวเข้าไปกระทำ

การถือเนสัชชิกนี่..

จะทำให้เห็นการปรุงแต่งแห่งใจชัด

หากการถือเนสัชชิกด้วยภาวะแห่งอิทธิบาทสี่

มีสติพรั่งพร้อมในการกระทำ

เมื่อกาลผ่านเลยไปจากความเคยชิน

เช่นการนอนหลับ การกิน หรือลักษณะที่เคยชินกับการกระทำ

เมื่อตั้งสติเพ่งมองอาการ มันจะเป็นสมาธิที่เห็นการปรุงแต่งแห่งจิตได้ชัดมาก

การมีสัมปชัญญะอยู่กับกาย สติระลึกได้ก็จะเกิด

มันจะเห็นชัดถึงเวทนาต่างๆ ที่กายมันปรุงขึ้นมา

และเมื่อมีปัญญาเกิด

มันจะเห็นชัดสูงขึ้นไปอีกว่า

อาการทั้งหลาย ไม่ได้เกิดจากกาย

แต่มันเป็นโปรแกรมบางอย่างแสดงขึ้นมาด้วยการอาศัยกายเกิด

กายนี่ไม่รู้ไม่ชี้

ไม่ได้ง่วง ไม่ได้หิว ไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น

สิ่งที่เป็นและเห็นชัด

อาการที่แสดงออกมาที่เรารับรู้ได้นั้น

มันเป็นอาการของจิต ที่แสดงออกโดยผ่านทางกาย

นี่..มันจะเห็นชัดเจนอย่างนี้ เมื่อเราปฏิบัติมาในแนวเนสัชชิก

การเห็นกายแยกจากความเป็นเวทนา และแยกออกจากความเป็นเราเป็นเขาอย่างเอกเทศเช่นนี้

หากมันยืนยันชัดเจนเกิดเป็นญานทัศนะขึ้นมา

ว่ากายอย่างหนึ่ง จิตอย่างหนึ่ง เราอย่างหนึ่ง

นี่เป็นญาณทัศนะระดับศีล ที่เรียกว่า เจโต

เจโตนี่เป็นปัญญาภายในที่แสดงเจตนาแห่งปัญญาญาณขึ้นมา

และเราก็สามารถรับรู้อาการแห่งปัญญานั้นได้

มันยังมีขั้นสมาธิและขั้นปัญญาอีก

เมื่อจิตดำเนินไปถึงขั้นปัญญา

ญานต่างๆ ที่เคยสร้างสมมา มันจะมารวมตัวกัน และเป็นกำลังให้เจ้าของได้เสวยผล

ผู้ดำเนินมาถึงขั้นปัญญา ภาวะจิตจะเสวยอาการที่เรียกว่า วิมุติญาน

วิมุติญาณก็หมายความว่า

อาการต่างๆ ที่มันยึดมาตลอดนับแต่เริ่มปรุงแต่งมาในวัฏฏะนั้น

มันคลายตัวลง

ถ้าระดับปัญญานี่ มันสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นโลกธาตุเลยทีเดียว

วิมุตินี่ก็คือญานที่รู้สมมุติ

เมื่อก่อนมันยึดกายเป็นก้อนๆ และเป็นตัวเป็นตนของมัน มันเกิดอุปาทานแห่งการหวงแหน

เมื่อมาถึงจุดแห่งทัศนะญาน

จิตมันจะคลายตัว ด้วยการเห็นชัดว่า

กาย ก็คือกาย เวทนาก็คือเวทนา จิตก็คือจิต

ถ้าขั้นศีล มันก็จะยังเอาจิตเป็นเราอยู่

แต่เวทนา และกาย ไม่ใช่เรา

ขั้นสมาธิ จิตก็ไม่ใช่เรา เรามันเป็นแค่องค์ประกอบของผู้ดูและผู้รู้

ขั้นปัญญา ทั้งผู้ดูและผู้รู้ เวทนา กาย ต่างเป็นอาการแห่งจิตที่ประกอบขึ้นมาตามเหตุปัจจัย

มาถึงขั้นนี้ มันจะวางตัวผลั๊วะลง เป็นอุเบกขามัธยัสถ์ทันที

แต่ละส่วนมันทำหน้าที่ของมันไม่ได้เป็นก้อนเป็นชิ้นเป็นอันและตัวตนอย่างที่เข้าใจ

มันจะเกิดภาวะสั่นเสทือนและวางตัวเป็นอุเบกขาเสวยวิมุติ

นี่..อธิบายมาพอคร่าวๆ พอเห็นร่องทาง

ปฏิบัติแล้วมานั่งฟังธรรมเฉพาะหน้า มันถึงจะได้รู้ความหวาน

ไม่ใช่ อ่านและฟัง เป็นหวานความรู้ ที่เป็นแต่อากาศทางสมอง

โดยพระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง
วันจันทร์ที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
พุทธอุทยานบุญญพลัง
อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี