พระมหากัสสปะ

พระมหากัสสปะ

465
0
แบ่งปัน

****** “พระมหากัสสปะ” ******

<< พระอาจารย์ : พูดถึงพระกัสสปะ นธีมันชอบ

>> ลูกศิษย์ : ชอบครับมากๆ

<< พระอาจารย์ : ท่านบอกว่า สมัยที่ท่านอยู่ ท่านเองก็ได้รับธรรมมาจากพระชินวรเจ้าแค่ครั้งเดียว ท่านก็นำมาพิจารณา พุทธศาสนาชี้ให้ปลง

พระชินสีห์ท่านก็ไม่ได้สอนอะไรมาก ท่านแค่ชี้บอกว่า การเกิดมันเป็นทุกข์ เห็นไหม เกิดเมื่อไหร่ อะไรต่ออะไรมันก็ติดตามเป็นทุกข์มา อย่างยาวเหยียด

ท่านให้พิจารณาเอาเอง ให้ประจักใจเอาเอง ท่านว่างั้น ท่านให้เราหัดพิจารณา ให้เห็นตรงตามความเป็นจริง ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

เมื่อพิจารณามากๆ เข้า บ่อยๆ เข้า มันก็บรรลุธรรมของมันไปเอง ท่านว่างั้น

ส่วนสมาธิเป็นเครื่องอยู่ของปัญญา ก็ต้องไปฝึกกันอีก สำหรับคนที่ไม่ค่อยฉลาด

โน่น..พระชิโนรสเจ้า บอกว่า ไปโน่นเลย โคนไม้ บ้านร้าง ป่าเขา ตรงไหนก็ได้ ที่มันไกลๆ ผู้คน ปลีกวิเวกไป เมื่อไปอยู่คนเดียว ก็ต้องสู้คนเดียว

ฉะนั้น เรื่องศีลนี้สำคัญ หากศีลไม่บริสุทธิ์ ใจมันก็สู้ไม่ได้มันก็พ่ายแพ้ ท่านเองอยู่ป่าเป็นสรณะ ไม่ค่อยได้สอนใคร

เมื่อทำสมาธิได้ถูกจิตมันรวมของมันได้ ก็จะเกิดทิพย์จักษุเห็นนั่นเห็นนี้ เห็นการเกิดตรงนั้นแล้วมาดับตรงนี้ ทำกรรมนั่นแล้วมารับผลอย่างนี้

มันก็จะเห็นของมัน เป็นล้านๆ ชาติเท่าที่ต้องการ ใจมันก็จะถอดถอนการอยากเกิด พอใจมันลงท่านก็ประคองอารมณ์นั้นไว้

ท่านบอกว่า ท่านก็ทำอยู่แค่นี้ พระพุทธองค์ท่าน ไม่ได้ชี้อะไรมาก คนเมื่อก่อนเขาเชื่อและศรัทธา เขาจึงทำกันอย่างจริงๆ ก็เลยได้จริง

บวชเข้ามาแล้ว รับกาสาวพัสตร์มาแล้ว ต้องทำนิพพานให้แจ้ง นี่คือการบวชที่ไม่เสียข้าวสุก คืนนี้หวัดดี

>> ลูกศิษย์ : ไม่สุดวิสัยของผมเลยครับ
>> ลูกศิษย์ : สาธุครับ / ค่ะ
>> ลูกศิษย์ : ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่ายค่ะ

<< พระอาจารย์ : ท่านบอกว่า การบรรลุไม่ยาก มันยากเพราะเราติดลาภ ท่านว่างั้น ติดพิธี ติดข้อวัตร เสียงข้างนอกนี่ มันรบกวนการเทศน์ธรรมข้า

พระกัสสปะเจ้าสังขารยังไม่ได้เผา เมื่อถึงเวลาของยุคพระศรีอริยเมตไตรย พระองค์ท่านจะมาเผาด้วยเตโชธาตุ อยู่ที่เนปาล

>> ลูกศิษย์ : พอจ นิพพานไม่ได้หมายความว่า ต้องตายหรือระสังขารใช่มัยครับ

<< พอจ.ธรรมกะ บุญญพลัง : นิพพานนี้ คือจิตมันรู้ความจริงแห่งโลกแล้วว่ามัน สมมุติ จึงเรียกว่า จิตมันนิพพาน

มันสงบไม่เร้าร้อนไปตามกระแสด้วยความไม่รู้ นั่นละ นิพพาน ไม่ได้ไปที่ไหน

แต่เรื่องที่พระศรีอาริยเมตไตรยมาเผาสังขารพระกัสสปะ เป็นเรื่องวิบากที่พระศรีอาริยเมตไตรยต้องชดใช้ ยากฟังไม๊..

นี่เป็นวิบากแท้ ที่ข้านี้ต้องมาชดใช้พวกแก วันนี้ขี้เกียจเล่าโว๊ย สามทุ่มแล้ว

>> ลูกศิษย์ : นิมนต์พักครับ แปะโป้งไว้ครับ
>> ลูกศิษย์ : พรุ่งนี้ค่ะหลวงตา มันหนาวเดี๋ยวไม่สบายค้า
>> ลูกศิษย์ : พักครับพัก
>> ลูกศิษย์ : หลวงพี่พักผ่อนบ้างครับอากาศที่นั้นน่าจะเย็นมาก เพราะดึกแล้วลมคงพัดแรง
>> ลูกศิษย์ : พักๆๆๆ ป่วยอยู่ หนาว บรึ๊ย!!! จะได้อยู่เทศน์ อีก 80ปี พอดีเลย

<< พระอาจารย์ : แทงคิ้ว… เออ..หนาว มืด

พระธรรมเทศนาคือวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๖ โดยพระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง

>> ลูกศิษย์ : ท่านผู้เฒ่า…ครับ พระพุทธกัสสปะ…กับ…พระมหากัสสปะ…นี่คนละองค์กัน หรือองค์เดียวกันครับ…

แต่ที่ตำราว่าหรือพระรูปอื่นๆ ว่า…สังขารของพระพุทธกัสสปะ…ท่านจะรอเผาในยุคของพระศรีอาริยะ…

นี่คือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน…กันหรือครับ

<< พระอาจารย์ : ตอบนธี…. พระพุทธกัสสปะ กับพระมหากัสสปะ ท่านเป็นคนละองค์กัน

พระพุทธกัสสปะ พระพุทธองค์ท่านทรงเป็นพระพุทธเจ้า องค์ที่สามในภัทรกัปนี้ มีอายุ 20,000 ปี

ส่วนพระมหากัสสปะ เป็นตติสาวกแห่งองค์พระพุทะสมณโคดม พระบรมครูของเรา มีอายุ 160 ปี

พระมหากัสสปะ เป็นผู้รวบรวมเหล่าสงฆ์ 500 รูป เพื่อทำการสังคายนาพระไตรปิฎก หลังพระบรมครูของเราปรินิพพาน ได้ 3 เดือน

ส่วนที่รอพระศรีอริยฯ มาเผาด้วยเตโชนั้น เป็นองค์พระมหากัสสปะ ไม่ใช่พระพุทธกัสสปะ

ที่เป็นเช่นนั้น มันมีเรื่องที่ท่านแต่งกันมาเล่าว่าอย่างนี้…จะโม้ให้ฟังเล็กน้อย

สมัยหนึ่ง… ในยุคที่พระศรีอริย ฯ ได้เกิดมาเป็นควาญช้าง พระมหากัสสปะได้เกิดมาเป็นช้างแสนรู้..

คราวนี้ ความแสนรู้ของช้าง ที่สามารถ สั่งอะไรก็ทำไปตามที่สั่งได้ โดยไม่ดื้อรั้น ประหนึ่งว่า ฟังภาษาคนรู้เรื่อง ทำให้ชื่อเสียงขจรกระจายไปทั่ว

ควาญช้างและช้างได้รับความชื่นชมแซ่ซ้องไปทั่วสารทิศ

ข่าวนี้ สร้างความไม่พอใจให้กับพระราชาเจ้าเมืองนั้นเป็นอันมาก เพราะตัวเองรู้สึกว่ามีชื่อเสียงด้อยค่ากว่าควาญช้าง

จึงได้วางอุบาย ให้ควาญช้างมาแสดงความแสนรู้ของช้างต่อหน้าพระพักตร์ และประชาชนทั่วไป

โดยให้ทหารเผาแท่งเหล็กสุมไฟที่ร้อนระอุ ขึ้นมา และให้ควาญช้างแสดงความซื่อสัตว์ และการเชื่อฟังของช้างที่มีต่อเขา

โดยการสั่งให้ช้างเดินเข้าไปกอดเสาเหล็กแดงที่ร้อนระอุนั่น..

ข้อแม้นี้ ควาญช้างรู้เหตุแล้วว่า พระราชาต้องการขจัดตน เพราะความมีชื่อเสียง เกินหน้าเกินตาพระราชาเป็นเหตุ

ควาญช้างได้คร่ำครวญร้องไห้ บอกกับช้างว่า..เพื่อนเอ๋ย เราคงต้องจากกันแล้ว นับจากนี้ไป เราคงไม่ได้พบกันอีก

ขอเจ้าจงตัดสินใจ เดินจากไป เพื่อเจ้าจะได้มีชีวิตอยู่ ต่อไป เราก็คงต้องโดนตัดคอ ฐานหลอกลวงพระราชา

แต่เราเต็มใจ ที่จะโดนตัดคอ เพื่อให้เจ้ามีชีวิตต่อไป แต่หากเจ้าไม่ยอมจากไป

เจ้าจะต้องแสดงให้พระราชารู้ว่า เจ้าเป็นผู้ที่เชื่อฟังเราทุกคำ แม้ความตายเจ้าก็ไม่หวั่น

เจ้าช้างที่รักยิ่งของข้า ขอเจ้าจงได้ตัดสินใจเอา เจ้ามีโอกาสที่จะเดินออกไป

เราขอลาจากเจ้าได้แค่นี้ จงไปดีและรักษาชีวิตไว้ ยังไงเราทั้งคู่ จะต้องมีผู้ใดผู้หนึ่งรอด

ข้าขอเลือกที่จะตายและขอให้เจ้ารอดไปเถิด..

ช้างแสนรู้ก้มลงและชูงวงร้องเสียงกังวานน้ำตาไหล มันเดินตรงไปยังแท่งเหล็กร้อนสีแดงฉาน

แล้วโอบกอดแท่งเหล็กนั้นไว้ไม่ปล่อยวาง จนตัวเองต้องตายไปอย่างสมภูมิ นี่….

มันมีวิบากตำนานมาเป็นอย่างนี้ ควาญช้างนั้นก็คือ พระศรีอริยเมตรไตร ในกาลเบื้องหน้า

ส่วนช้างเชือกนั้นก็คือ พระมหากัสสปะ ผู้สังคายนาพระไตรปิฎก ในพระบรมครูของเรา

วิบากนี้ เมื่อพระศรีอริยะฯ ได้มาเสด็จตรัสรู้ พระพุทธองค์ท่าน จะมาเปิดภูเขาที่รักษาซากสังขาร ของพระมหากัสสปะเจ้า

แล้วใช้ฝ่ามือขวา ช้อนร่างขึ้นมาไว้ในอุ้งมือ แล้วกล่าวนมัสการ เผาด้วยเตโชธาตุ

สังขารพระกัสสปะก็จะสลาย และพระพุทธองค์ท่าน ก็จะเข้าสู่นิพพานในอีกไม่ช้า

ในยุคนั้น พระพุทธองค์ท่าน มีเรือนร่างสูง 40 เมตร มีอายุ 80,000 ปี จึงใช้ฝ่ามือซ้อนร่างมาไว้ในอุ้งมือได้

นี่เป็นวิบาก ระหว่าง พระศรีอริย ฯ กับพระมหากัสสปะเจ้า ตามที่พอรู้ๆ มา เมื่อนธีถามก็เลยแจงมา พอฟังกันหนุกๆ

โม้ ๆ ตามเขาว่าน่ะ อย่าไปถืออะไรจริงจัง คึคึคึ มีอะไรถามอีกไม๊

>> ลูกศิษย์ : ยังไม่มีครับผม

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2556 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง