ตัณหามันผุดขึ้นมาไม่รู้จบเป็นธรรมดา

ตัณหามันผุดขึ้นมาไม่รู้จบเป็นธรรมดา

395
0
แบ่งปัน

****** “ตัณหามันผุดขึ้นมาไม่รู้จบเป็นธรรมดา” ******

นักบวชที่ไม่เกิดตัณหาหรือเกิดเล็กน้อยนั้น..

ตราบใดที่ปฏิบัติ รับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างตั้งใจ

อารมณ์เหล่านี้จะโดนข่มไว้ได้ นี่เป็นธรรมดา

ฝึกเบื้องต้นควรเป็นเช่นนั้น มันยังมีความละอายสูง

ท่านจึงเลือกที่จะอยู่อย่างสันโดษ และกระทบผัสสะให้น้อย

นี่เป็นระยะเริ่มต้น ที่ต้องเข้มแข็งกับมันด้วยการฝึกฝนข่มจิต

แต่การเข้าถึงปัญญาไม่ได้มีอยู่เพียงแค่นี้

ธรรมชาติของสังขารมันมีหน้าที่ของมัน มันปรุงแต่งของมันไปเรื่อย

การเห็นผู้คนเป็นกระดูก มันเป็นการพิจารณา ปรุงด้วยความคิด

ไม่ใช่เห็นจริงด้วยตาว่าเป็นกระดูก

มันเป็นการพิจารณา เป็นวิปัสนาพิจารณาสังขาร ว่าจริงๆมันไม่มีสาระอันใด

ร่างมันประกอบเนื้อหนัง เอ็น กระดูก ด้วยเหตุแห่งสังขารเหล่านี้

เมื่อถึงจุดหนึ่งมันก็ย้อนกลับมาทำหน้าที่ของมันเช่นเดิม

เนื้อก็คือเนื้อ มันเดินได้ดิ้นได้ และปรากฏอยู่ตรงหน้า

ตัณหาทั้งหลายมันก็กลับมาทำหน้าที่ของมันเช่นเดิม

เพราะตัณหาทั้งหลายเป็นเครื่องอยู่ของสังขาร

เป็นเพียงแต่ผู้รู้รู้จักมันและอยู่ร่วมกับมันได้โดยไม่เดือดร้อน

นี่เป็นความจริงที่ไม่บิดเบือน

การเข้าถึงเจโตวิมุตติ สิ่งเหล่านี้ก็ยังมี

การเข้าถึงปัญญาญานวิมุตติ สิ่งเหล่านี้ก็ยังมี

แต่ผู้เข้าถึงท่านมีที่ยืนที่ปลอดภัยในการรักษาใจตนเท่านั้น

ท่านเลือกช่องว่างที่จะเดินได้ด้วยกำลังแห่งปัญญา

แต่ก็พลาดได้เช่นกัน เพราะมันเป็นเรื่องของภพที่มันทำหน้าที่ไปตามเหตุปัจจัย

ก็ต้องไปขยายเรื่องเกี่ยวกับภพอีก ว่ามันเกี่ยวเนื่องอย่างไร

ในเจตนาที่เรียกว่ากรรม

และกรรมอันใดที่ไม่มีผลต่อการเสวยวิบากแห่งวัฏฏะ

นี่ก็ต้องขยายกันออกมาอีก สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของภพ

ตำราไม่ได้ขยายไว้

การเกิดอารมณ์นี่เป็นธรรมดา

เกิดแล้วจะแก้ให้ผ่านได้อย่างไรนี่ ไม่ธรรมดา….


หวัดดียามดึก…

ชาตินี้ข้าเจอลูกๆ มากมาย พอๆ กับเจอตัวแม่มันที่แสนรักมากมายเช่นกัน

มันเห็นอารมณ์ปรุงแต่งเยอะแยะ อารมณ์พวกนี้นี่แหละ ที่ทำให้ผ้าเหลืองของเหล่าภิกษุมันร้อน

เรื่องพวกนี้นี่ มันเป็นโปรแกรมธรรมชาติ ที่อาศัยสัญญาวิบากด้วย

ข้านี่ แจ้งในธรรมเท่าที่กำลังมี ธรรมทั้งหลายแจ้งด้วยปัญญาญานที่สอดส่งลงไป

แต่หน้าที่ต่างๆ ของอารมณ์มันก็ยังคงทำหน้าที่ของมันเช่นเดิม

ตรงนี้นี่แหละที่ผู้คนเป็นนักบวชไม่ผ่านกัน จบปิ้งกันมากหลาย โดนสอยลงมาเกลี้ยง

นิกายวัชรยานเกิดขึ้น เพราะผู้นำแม้มีปัญญารู้เห็นแจ้งธรรม แต่กำลังบารมีไม่พอที่จะไปรู้ว่า

อาการต่างๆมันก็ยังทำหน้าที่ของมัน ธรรมเข้าข้างกิเลสมันก็เลยเกิดขึ้น ในไทยเราก็มี

ที่เจ้าสำนักมีคู่ครอง แล้วบอกว่าความรักที่บริสุทธิ์ เป็นหนทางหนึ่งที่ไม่ควรไปขัดขวางมัน เพื่อการเข้าถึงธรรม ที่เป็นธรรมดา

นิกายนี้ เป็นนิกายแห่งปรัญญาและปัญญา ที่มีเรื่องล่อกันนัวเนียเพราะอ้างความรักบริสุทธิเป็นเหตุ

เพราะฉะนั้น…

การวางจิตนี่สำคัญ มันจะมีตัวช่างน้ำหนักอะไรดีอะไรชั่วอยู่เสมอ

แม้ผู้แจ้งสภาวะจะรู้ว่าดีชั่วมันเป็นเรื่องสมมุติ ที่แบ่งแยกกันขึ้นมาไม่มีความจริงอะไร

ดีชั่วเป็นเรื่องของความถูกใจไม่ถูกใจ อะไรดีก็ถูกใจ อะไรไม่ดีก็ไม่ถูกใจ

มันเป็นเรื่องตัณหาที่เต็มไปด้วยอัตตาให้นิยาม ดี นิยามชั่วเท่านั้น

แต่เมื่ออยู่ในสังคม สมมุติดีชั่วมันก็ต้องเอามาเป็นกฏหมายใจในการอยู่ร่วมกัน เพื่อความเป็นไปอย่างสงบสุข

ผู้มีปัญญาก็ต้องมีกำลังสมาธิที่แก่กล้าด้วยจึงจะเอาอยู่

อ่อนสมาธิ มันก็จะแกว่งไปตามปรุงแต่ง

อารมณ์แห่งตัณหานี่มันร้ายแรง เผลอตัวเมื่อไหร่ มันเผาเป็นไฟเร่าร้อนเลยทีเดียว

การฝึกปฏิบัตินี่ วางใจถอดถอนไม่ได้เลย หย่อนยานเมื่อไหร่ ตัณหามันปีนขึ้นหมองเชียว

พระเราหนุ่มๆ ทั้งนั้น ไม่รู้ว่าจะรอดได้แค่ไหน

ข้าเองเป็นพระแก่ๆหน้าตาเหมือรโจร แถมขวางๆกวนตีนไม่เข้าออกใคร

ยังโดนสอยโดนกระทุ้งอยู่บ่อยๆ รอวันร่วงให้พวกหมั่นใส้มันกิ๊วๆๆ อยู่เหมือนกัน

รอด รอดไม่รอด รอด รอดไม่รอด ผีมันก็ยังเคยเชียร์ข้าอยู่ สมัยพรรษาแรกๆ

แต่ข้าก็รอดมาอย่างป้อแป้ นี่ถ้าโดนหมัดฮุกหนักๆซักตุ๊บ ก็ไว้ใจไม่ได้เหมือนกัน

พวกพระหนุ่มๆหล่อๆเร้าใจแม่หม่ายสาวแก่แม่ปลาช่อนทั้งหลาย

ข้าก็ขอภาวนาให้ไปกันตลอดรอดฝั่งนะ

ข้าจะคลานไปยืนรอเป็นกำลังใจให้ที่แสงแห่งปลายอุโมงค์

หวัดดี

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 27 มกราคม 2560
โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง ณ พุทธอุทยานบุญญพลัง จ.กาญจนบุรี