จิตมันเห็นด้วยปัญญา ไม่ใช่เห็นด้วยกู

จิตมันเห็นด้วยปัญญา ไม่ใช่เห็นด้วยกู

373
0
แบ่งปัน

***** “จิตมันเห็นด้วยปัญญา ไม่ใช่เห็นด้วยกู” *****

หวัดดียามเช้าๆ

วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส ลมเย็นบรรยากาศดี

มีนักแทะตำรามากมายไม่เข้าใจคำว่าจิต เราเอาจิตมาเป็นตัวตนแห่งเรา

จิตนี่ ความหมายของมันใช้เรียกชื่อความเป็นสังขาร

สังขารนี่ เป็นการประกอบเข้าหากัน ในที่นี้เรียกว่าการปรุง

การปรุงแต่งนี่ เรียกเป็นจิตสังขาร

จิตสังขารนี้อาศัยอวิชาเป็นเหตุ เป็นแหล่งเกิด เป็นแหล่งกำเนิด

สังขารจิตในนามรูป อาศัยผัสสะเกิด

ผัสสะเกิด จะทางใดก็แล้วแต่ อวิชาโด่ขึ้นมาทันที

อวิชาตัวนี้ เป็นสมมุติชื่อเรียกผลแห่งผัสสะ

อวิชาเกิด การปรุงแต่งก็เกิด นี่ว่ากันในกาลแห่งวิญญานที่มีนามรูป

การปรุงแต่งนี้ เรียกว่าเจตสิก

เจตสิกก็คือกระบวนการปรุงแต่งผลแห่งผัสสะ ที่ผ่านมาทางอายตนะ

อายตนะก็คือช่องต่อของวิญญานคือ ตา หู ลิ้น จมูก กาย ใจ อะไรเหล่านี้

เมื่อตากระทบรูป อวิชาเกิด คือไม่รู้ว่ารูปอะไร ตัวนี้เป็นเวทนาที่ไม่รู้

รูปในสัญญาก็เข้าไปเทียบเคียงรูปที่กระทบ

การปรุงแต่งทางรูปสัญญานี่เรียกว่าสังขาร

เมื่อปรุงแต่งเทียบเคียง ประมวลรูปทางจักษุคือตาพออนุมานแห่งสัญญาและสังขารได้

นี่เรียกว่าวิญญาน

สมมุติแห่งนาม ว่ารูปนั่น รูปนี่ ชื่อนั่น ชื่อนี่ ที่ปรากฏรูปทางตา

นามสมมุติก็ปรากฏว่า โต๊ะ เก้าอี้ ท้องฟ้า อีนั่น อีนี่ เรียกว่ารู้รูปที่เห็นขึ้นมา

อาการเหล่านี้ เรียกว่าใจ

ใจนี้เป็นอาการของจิต ที่ปรุงแต่งสังขารเนื่องด้วยนามรูป

เจตสิกนี่เป็นอาการของใจ ที่ปรุงแต่ง จากผัสสะ มีเวทนา สัญญา สังขาร
และวิญญาน มาเป็นสิ่งที่ปรากฏทางอายตนะ

กระบวนการที่ปรุงจบแล้ว จะเกิดเป็นเวทนาที่อาศัยกาย เกิดเป็นอารมณ์

คำว่าเรา อาศัยการเป็นเจ้าของเริ่มจากจุดนี้ ไม่มีคำว่าเราเริ่มมาตั้งแต่แรกผัสสะ

อารมณ์นี้เป็นเหตุให้เกิดตัณหา

ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดอุปาทาน คือยึดมั่นในรูปที่กระทบ

ความเข้าใจผิดว่าเราเป็นจิต เอาจิตมาเป็นเราโดยไม่เข้าใจธรรมชาติแห่งการปรุง

ก็จะเป็นการเพ้อธรรมเพราะจำเพราะอ่านเพราะฟังเขามา แล้วหาจุดเริ่มต้นไม่เจอ

จิตนี่เป็นเรื่องการปรุงแต่ง ที่ไม่มีเราเข้าไปตั้งอยู่ในนั้นเลย

เรานี่ ไม่สามารถดูกระบวนการณ์แห่งจิตได้

การชี้ให้เฝ้าดูจิตนี่ เป็นการชี้ทีขัดต่อหลักความเป็นจริง

เรื่องการดูจิตนี่ ท่านต้องผ่านการมีความชำนาญ ทางดูกาย ดูเวทนามาก่อน

มันจึงจะเกิดปัญญาเป็นขั้นๆขึ้นมา เห็นการปรุงแต่งที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิด

การปรุงแต่งเพราะอาศัยเหตุปัจจัยเกิดนี่ เป็นเรื่องของปัญญารู้เห็นที่อาศัยการมีสมาธิเฝ้ามองกาย

เพราะกายเป็นที่เกิดของเวทนา

เวทนาเป็นที่เกิดของจิต

หากเราเฝ้ามองจิต

เราก็จะเข้าใจว่าความคิดที่เราปรุงแต่งนี่คือตัวจิต ในกายานุปัสสนากรรมฐาน

ตรงนี้เข้าใจผิด

ความคิดไม่ใช่ตัวจิต

ความคิดเป็นอารมณ์ปรุงแต่งทางมโน

การชี้ให้เฝ้าดูจิตอย่างที่เจ้าสำนักต่างๆเข้าใจ

มันก็ถูกอย่างไม่ตรงเป้านัก

เหมือนเรามองไม่เห็นสวิตช์เปิดไฟ ไม่รู้สวิตช์ไฟอยู่ไหน

แต่เราอยากเปิดไฟ ไฟย่อมเปิดไม่ได้เพราะไม่รู้เหตุแห่งไฟที่มันอาศัยสวิตช์เปิด

การเฝ้าดูจิตก็เหมือนกัน

เรากำลังเฝ้าดูในสิ่งที่มองไม่เห็น เพื่อให้เห็นธรรม

มันก็เหมือนต้องการเปิดไฟ โดยไม่รู้ว่าต้องไปเปิดตรงสวิตช์ไฟโน่น ไฟมันถึงจะสว่างขึ้นมา

ปราชญ์ท่านชี้ให้ดูกายนี่

กายมันเป็นผลให้เหตุเกิด

และเป็นเหตุสาวผลนั้นไปหาเหตุที่ซับซ้อนลงไป

ไม่มีปราชญ์ท่านใด ชี้ให้เห็นสิ่งที่มองไม่เห็น เพื่อให้เห็นในสิ่งที่มอง

การเพ่งความรู้สึกจับอยู่ที่กายยามผัสสะ

ย่อมเห็นเวทนา

เวทนานี่ เราก็เข้าใจว่าเป็นความรู้สึกเจ็บ ร้อน ป่วยไข้ ไม่สบายตัวไม่สบายใจอีก

นี่มันเวทนาแค่ทางด้าน กายวิญญาณ

เป็นความเข้าใจที่แคบไป

มันยังมีเวทนาทาง โสตตะ ทางฆานะ ทางมโน ทางจักษุอะไรนู่นอีก

ที่สำคัญ..เอาเวทนามาเป็นอัตตาตัวตน ว่าเราเป็น

การไม่ได้เข้าใจธรรมที่ถูกต้อง

มันก็จะปัญญาอ่อน เป็นได้แค่ก๊อปแปะๆๆๆ ที่เขาว่าๆกันมา

ขาดตรรกะ ขาดปัญญา เป็นพวกอ่อนหัดทางสังคมที่ขาดผู้รู้ชี้

มนุษย์ที่เข้าใจว่า บนดวงจันทร์มันมีกระต่าย

มันก็จะเฝ้าพูดและแต่งเรื่องแต่กระต่ายที่มันมีอยู่บนดวงจันทร์ของมันไปอย่างนั้น

มันย่อมไม่ฟังว่า บนดวงจันทร์มันไม่มีกระต่าย

ใครบอกว่ากระต่ายมันไม่มีบนดวงจันทร์ มันผู้นั้นโง่สิ้นดี

นี่..มันยึดของมันอย่างนี้ เพราะมันเชื่อว่ากระต่าย มันมีบนดวงจันทร์ เพราะโบราณเขาว่ามา

การปฏิบัติเดิน ยืน นอน นั่ง ในสติปัสฐานสี่นี่

ท่านมีสติสัมปชัญญะเพ่งอยู่กับกาย

การเห็นกายด้วยความเคยชินจนชำนาญ มันจะเห็นเวทนา

ผู้มีปัญญาจะหาเหตุแห่งเวทนา ก็จะเห็นจิต

คำว่าจิตนี่ ต้องอธิบายกันละเอียดเป็นขั้นๆกันเลยทีเดียว

ไม่ใช่แค่คำท่องจำแค่ กาย เวทนา จิต ธรรม แล้วเป็นผู้เข้าใจธรรมกันแล้ว

อ่านธรรมแล้วเอาตัวเข้าไปเป็นเจ้าของธรรม

มันก็จะเดือดร้อนเมื่อมีใครเขาไปสะกิดสีข้างเข้า

ความมัวเมาในธรรมมันก็จะกระจายภูมิปัญญาออกมาด้วยความงมงายในธรรมที่ตนยึดมาแสดง

พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง
วันที่ 22 มกราคม 2560
ณ พุทธอุทยานบุญญพลัง อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี