ธุดงค์เข้าสู่ความเป็นอริยะ (ท่อน 3)

ธุดงค์เข้าสู่ความเป็นอริยะ (ท่อน 3)

328
0
แบ่งปัน

***** “ธุดงค์เข้าสู่ความเป็นอริยะ (ท่อน 3)” *****

เมื่อวานได้คุยถึงการประจักษ์ชัดถึงผู้เข้าถึงญานแห่งการเห็นผู้ดู ผู้รู้ กาย และโปรแกรมจิต

การเห็นชัดแจ้งเช่นนี้ หลวงตามหาบัวท่านเคยเข้าถึงเมื่อพรรษาที่ 16 หลังหลวงปู่มั่นมรณะภาพแล้ว

การเข้าถึงญานตรงนี้ มันจะถอดถอนอุปทานแห่งกาย เวทนา ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเราที่จะเข้าไปเป็นเจ้าของอะไรได้

ตรงนี้เจ้าของจะแสดงเสวยอาการวิมุตติญานขึ้นมา มันเกิดการแจ้งโดยจักษุธาตุ

เรียกว่ามันเห็นแจ้งขึ้นมาทุกช่องทางว่าสิ่งทั้งหลายที่ยึดมั่นกันมา ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ทั้งหลายนี่ มันเป็นสมมุติที่เข้าใจผิดและไม่จริงอะไรเลย

ความว่างเปล่าแห่งอาการทั้งหลายทั้งปวงที่ผัสสะ มันจะวางทีท่าของมันเป็นอุเบกขามัธยัส

เท้าที่ก้าวมันก็ก้าวไปด้วยอาการของมันที่เห็นแจ้งว่า เป็นการสั่งงานที่เกิดจากโปรแกรมจิต

ผัสสะที่เกิดกระทบ เกิดเวทนาทั้งหลาย ไม่เกี่ยวกับกาย แต่มันก็รู้กระทบ มีผู้ดูการกระทบ และผู้รู้การกระทบ

เจ็บที่เป็นเวทนายามเหยียบย่ำไปบนหินแหลมหรือขวากหนาม มันเป็นเจ็บที่ไม่มีใครเจ็บ

ร้อน หนาว แข็ง อ่อน ปวด เหนื่อย อ่อนเพลีย เป็นอาการที่ไม่มีใครเป็น

อาการต่างๆมันเป็นแค่อากาศแห่งเหตุปัจจัยที่เกิดการปรุงแต่งมาจากสังขารจิตทั้งสิ้น

มันไม่มีใครเป็น และมีใครเป็นเจ้าของอาการ ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดจากจิตสังขารที่ปรุงแต่งขึ้นมาตามเหตุปัจจัยของมัน

เราเป็นผู้หลงกับการเป็นเจ้าของทุกอย่างที่มาผัสสะว่าเรามันเป็นผู้เป็น

เท้าที่เหยียบหนาม มันรู้ว่าเหยียบหนาม มันมีอาการเจ็บ แต่ไม่มีผู้ใดเข้าไปเป็นเจ้าของ

มันมีผู้ดูอาการที่กระทบ และมีผู้รู้อาการที่กระทบ กายนี่ไม่รู้ไม่ชี้ต่อเวทนาทั้งหลาย

รู้นี่ ก็ไม่ใช่เรารู้ มันเป็นรู้อย่างเกียร์ว่างที่มีผู้ดูแยกชัดออกมา เจ็บนั้นเกิดจากปรุงแต่งสังขารจิตที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของเช่นกัน

มันเป็นแค่ทำงานอาศัยเป็นก้อนเป็นทีมเดียวกัน และมีอาการแห่งเราเข้าไปเป็นเจ้าของอาการด้วยความหลงว่าอาการทั้งหมดนี้ เรามันเป็น

เมื่อเกิดญานเห็นชัดการแยกเป็นส่วนๆขึ้นมาเช่นนี้ มันหาความเป็นเจ้าของผัสสะแห่งเวทนาไม่มี

ที่มีคือผู้ดูเหตุแห่งผัสสะและผู้รู้ผัสสะที่มากระทบกาย ไร้เจ้าของในอาการทั้งหลายที่มันเป็น

เจ้าของเจ็บที่จะร้องโอดโอย สะดุ้งไปตามเหตุกระทบต่อเนื่องแห่งอาการมันก็เลยไม่เกิด

เจ็บนี่เป็นอาการหนึ่งที่โปรแกรมจิตสังขารมันสร้างขึ้นเพราะเหตุแห่งสัญญาที่ย้อมมาแต่ก่อนเก่า

มันเป็นอาการเหมือนไฟแดงแสดงขึ้นมายามน้ำมันหมด ซึ่งไม่มีใครเป็นผู้หิวน้ำมัน

ไฟแดงมันทำงานอย่างไม่รู้ไม่ชี้ มันแดงเพราะเหตุปัจจัยมากระทบคือน้ำมันในถังมันเริ่มหมด

ถังน้ำมันมันก็ไม่รู้ไม่ชี้ มันไม่รู้ว่าน้ำมันมันหมดเหมือนกัน รถก็ไม่มีตัวรู้ว่ามันแสดงไฟแดงว่าน้ำมันในถังนี่มันกำลังหมด

ทุกสิ่งที่เกิด มันเกิดจากการอาศัยสิ่งหนึ่งไปสู่สิ่งหนึ่ง โดยไม่มีใครเข้าไปเป็นเจ้าของ

ไฟแดงเหมือนมันรู้ว่าน้ำมันหมดมันจึงแสดง แต่จริงๆมันไม่รู้ ไม่มีตัวรู้อยู่ในไฟแดง

รู้นี้เป็นเพราะโปรแกรมที่ปรุงแต่งตั้งสัญญาน รหัสอาศัยเหตุซึ่งกันและกันขึ้นมา

มีผู้ดูคือเรา ผู้รู้ก็คือเรา ผู้เดือดร้อนก็คือเรา รถ ไฟแดง ถังน้ำมัน ไม่มีใครเป็นเจ้าของผู้เดือดร้อน

อาการเจ็บที่ผัสสะจากการเหยียบหนามก็เช่นกัน เมื่อเกิดภาวะเข้าถึงผู้ประจักษ์ชัด เห็นอาการแยกย่อยตรงตามความเป็นจริง

เจ็บอันเป็นเวทนาทั้งหลายมันก็ไม่มี ที่มี…เพราะการมีเจ้าของเข้าไปเป็นเจ้าของอาการทั้งนั้น

การปล่อยวางแห่งอุปาทานในกายและเวทนามันหลุดเผลั๊วะออกไปทันที เกิดเป็นอุเบกขาในสิ่งที่กระทบทั้งหลาย

มันแสดงอาการไม่รู้ไม่ชี้ต่อสิ่งใดทั้งนั้น มันดูเหมือนไม่ใช่หน้าที่ของมันที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับอะไรที่คิดว่าเราเป็น

เจ็บก็อยู่ส่วนเจ็บ มันเกิดจากอาการปรุงแต่ง กระทบก็อยู่ส่วนกระทบ มันเกิดจากเหตุปัจจัยแห่งกายสังขาร

มีผู้รู้และผู้ดูอาการเหล่านี้เฉยๆ ไม่มีใครเข้าไปเป็นเจ้าของ กายไม่เกี่ยว เวทนาไม่เกี่ยว

สิ่งทั้งหลายมีเหตุปัจจัยมาจากการปรุงแต่งแห่งสังขารจิตทั้งสิ้น ที่สำคัญ..ไม่มีใครเป็นเจ้าของในเหตุแห่งสังขารปรุงแต่งทั้งหลายนั้น

นี่..มันรู้ของมันขึ้นมาเช่นนี้ เมื่อเกิดการสอดส่งลงไปในอาการที่เป็นและประจักษ์ใจยืนยันขึ้นมา

อาการเช่นนี้ เรียกว่าจิตเจ้าของเข้าถึงอาการแห่งเจโตวิมุตติ

เจโจวิมุตติเป็นอาการตรัสรู้หรือรู้แจ้งญานอย่างหนึ่งที่เรียกว่าวิชา

ในบุรุษผู้เข้าถึงในวิสัยเตวิชโช เจโตวิมุตติเป็นหนึ่งในวิชาสามที่เข้าถึงองค์แห่งการตรัสรู้

ผู้เข้าถึงวิสัยเช่นนี้ เป็นผู้เข้าถึงความรู้แจ้งหนึ่งส่วน เหลืออีกแค่เพียงภพเดียวก็จะสิ้นอัตตภาพแห่งการเกิดมาอยู่ในภูมิแห่งสัตว์

สัตว์ในที่นี้หมายถึงเวไนยสัตว์ คือสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

เหลืออีกส่วนหนึ่งที่จะต้องรู้แจ้งให้ได้นั่นก็คือ การเกิดวิมุตติญานแห่งปัญญา

ปัญญาวิมุตตินี่เป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะต้องกล่าวเหตุแห่งการเกิด

แต่ปัญญาวิมุตตินี่ก็เกิดได้จากการเข้าสู่ป่าเพื่อการธุดงค์ได้ด้วยเช่นกัน

หากถึงได้ทั้งสองส่วนคือปัญญาวิมุตติและเจโตวิมุตติ นี่เรียกว่าเป็นผู้เข้าถึงโดยสองส่วนในอัตตภาพเดียว

เรียกว่าเป็นบุรุษผู้เข้าถึงบุพโตวิมุตติ บุรุษผู้เข้าถึงเช่นนนี้ เป็นผู้มีปัญญารู้แจ้งธรรมที่เรียกว่า ปฏิสัมภิทาญาน

นี่..พระผู้เข้าถึงปฏิสัมภิทาญาน อาศัยญานแห่งบุพโตวิมุตติเกิด ทั้งเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติเกิดในอัตภาพเดียวที่ได้เกิดมา

การเกิดญานนี่ อาจเกิดต่อเนื่องได้พร้อมกัน หรืออาจเกิดต่างเวลากัน มันขึ้นอยู่กับบารมีที่สะสมกันมา

บางท่านเข้าถึงเจโตวิมุตติขึ้นมาก่อน เข้าถึงแค่ส่วนเดียวในอัตภาพเดียว เข้าถึงวิมุตญานแห่งปัญญาไม่ได้ เช่นนี้เป็นผู้เหลืออีก 1 ภพ

บางท่านเข้าถึงได้ทั้งสองส่วน เช่นนี้เป็นผู้สิ้นภพในอัตภาพนั้น

พระอรหันต์ สุขวิปัสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ที่เราเข้าใจว่าสิ้นภพนี่ ยังไม่สิ้นภพหากยังเข้าไม่ถึงทั้งสองส่วน

เป็นเพียงแต่ท่านสิ้นเสบียงวิบากที่จะกลับมาก่อรูปเท่านั้น ยังเหลืออีกหนึ่งภพที่จะต้องเสวย

ภพนี้เป็นภพจิตที่จะต้องตีอวิชาให้แตก ตราบใดที่อวิชาไม่แตกการเข้าถึงวิมุตติญานแห่งปัญญาย่อมไม่เกิด

ปัญญาวิมุตตินี่ เป็นการเข้าถึงธรรมได้ด้วยการเอาสมมุติตีสมมุติ ขยายสอดส่งสมมุติด้วยสมมุติที่สร้างขึ้นมาในอัตภาพเข้าไปสอดส่งสาวผลไปหาเหตุ

เมื่อสอดส่งจนถึงที่สุดแห่งจิต ต้อนสัญญาทุกอย่างจนเกิดปัญญาญาน ความแจ้งแห่งภูมิทั้งหลาย ที่เรียกว่าตีอวิชาแตก

เกิดปัญญารู้แจ้งสว่างโพลนขึ้นมาด้วยใจเจ้าของที่สอดส่งธรรมทั้งหลายลงไปวินิจฉัย

เมื่อถึงจุดแตกหักแห่งอวิชาทั้งหลาย โลกธาตุแห่งสมมุติทั้งหลายที่จิตมันยึดมั่นหมาย มันก็สั่นสะเทือนเลือนลั่นพังสลายทะลายลงราบเรียบ

นี่..เป็นอาการแห่งภูมิชัยในสมรภูมิผู้เข้าถึงปัญญาวิมุตติ

มหาบุรุษผู้เข้าถึงทั้งสองส่วนเช่นนี้ เราเรียกว่าพระอรหันต์ปฏิสัมฏิทาญาน

พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญานเกิดขึ้นได้ทุกยุคทุกสมัยหากตราบใดที่พระภิกษุสงฆ์ยังคงปฏิบัติดีปฏิชอบ

เล่ามาซะเยอะ จึงขอพอไว้แต่เพียงแค่นี้ แค่จะบอกว่า การธุดงค์เข้าป่านี่ เป็นปฏิทาสำคัญ ที่จะทำให้เกิดการรู้แจ้งธรรมได้

หากผู้ปฏิบัติมีความบริสุทธิ์ มีศีล สมาธิและปัญญาเพียงพอ การเข้าถึงธรรมที่รู้แจ้งก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร

ที่เราทั้งหลายได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่ได้พบพระพุทธศาสนา

ไม่ใช่เข้าป่าเพื่อไปเที่ยว ไปพักผ่อนหรือไปอยู่ป่าเพื่อหาความวิเวกดั่งที่เราคิดกัน

การธุดงค์นี่สำคัญ เป็นเพียงแค่ว่าเรานักบวชมันรู้จักการธุดงค์กันรึเปล่า

ขอให้ท่านทั้งหลายจงโชคดีมีความสุขที่ได้เกิดมาพบกันบนโลกใบนี้

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 18 มกราคม 2560 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง