ตัวรู้…ดูเงาในกระจก

ตัวรู้…ดูเงาในกระจก

601
0
แบ่งปัน

OLYMPUS DIGITAL CAMERAข้าตอบธรรมท่านหนึ่งไป เพราะเขาเข้าใจว่าเขาบรรลุธรรรมขั้นใดขั้นหนึ่ง และเขามักแสดงธรรมที่คิดว่าบรรลุ ถามย้อนตัวเองให้ข้าตอบ ข้าจะลอกออกมาให้ฟัง เผื่อคลี่คลายอาการของพวกเราบ้าง 

>> เขาถามว่า กราบนมัสการครับ…พระอาจารย์ผมขอถามแบบโง่ๆ เลยนะครับ..เพราะไม่อยากเข้าใจชื่อเรียกผิด……การที่เราไม่ใส่สมมุติในผัสสะนั้นคือ..นิพพานในปัจจุบันปะครับ…เพราะทุกอย่างไม่มีอะไร..ไม่มีเราในอะไรๆ..เราไม่แสดงตนในอะไรๆ…ทุกอย่างปรกติ..เพราะไม่มีใจเรา…กราบนมัสการครับ

<< ข้าตอบว่า ไม่ใช่นิพพาน มันดับเพราะสมมุติ ไม่ได้ดับเพราะวิมุติ การดับโดยไม่ใส่สมมุติดูว่าไม่รู้ไม่ชี้ต่อสิ่งใด แต่เหตุปัจจัยมันเกิดจาก ยึดในรู้แล้วจากสมมุติ แม้ว่าความรู้แล้วนั่น มันจะไม่รู้อะไร และเราเองเป็นเจ้าของในการดับสิ่งทั้งหลายที่ผัสสะทางอายตนะนั้น

 

>> เขาตอบว่า กราบนมัสการ…ฟังคำตอบของพระอาจารย์แล้ว..เอามาพิจารณา..ยังมีเราไปใส่กับไม่ใส่อยู่..สมมุติเกิดแล้ว..แต่ละเอียดมากจนแยกแทบไม่ออก…แต่พอมองออกครับว่าอารมณ์ที่เหนือกว่านี้คืออะไรครับ….คืออารมณ์ที่รู้ว่าเราใส่หรือไม่ใส่ครับ…….กราบนมัสการ

 

>> ข้าตอบว่า เห็นเราในกระจกไหม..

เงาในกระจกเป็นเรารึเปล่า เราเห็นเงาในกระจกได้ ก็เพราะมีเราเป็นเหตุปัจจัย

เงานั้นแม้ไม่ใช่เรา แต่มันอาศัยเราในการที่ทำให้มีเราเห็น

สิ่งที่เห็น มันก็เกิดจากเรา เพียงแต่เรามักมองเห็นแต่เงาที่เกิดจากเรา

เราไม่หันมามองเราอันเป็นเจ้าของเงา ที่เงามันเกิด มันมองเราไม่เห็น มันเห็นแต่เงาที่เป็นเรา

นี่เป็นปกติแห่งผัสสะและอายตนะที่มีเราเป็นเจ้าของ มันหลงเงาที่คิดว่าเป็นมันโดยไม่เห็นตัวมันเอง
ว่าเป็นต้นเหตุแห่งการมีเงาที่เป็นเรา

 

>> เขาฟังแล้วตอบว่า โห..กราบนมัสการครับพระอาจารย์ผมหลงเงาตัวเอง…..
คิดว่าเข้าใจในจิตและใจได้ก็เข้าใจทุกอย่าง…..แต่กลับไปหลงเงาหรือสภาวะตัวเอง…
รู้แล้วยังยึดอยู่….ผมละทึ่งในปัญญาของพระอาจารย์จริงๆ ครับ…กราบนมัสการ

นี่เป็นส่วนหนึ่งในการถามตอบ ที่พวกเราไม่เคยได้ฟัง เพราะข้ามักอธิบายส่วนตัวกัน ซึ่งข้าก็ขี้คร้านชิ๊บหาย

 

คนเรานั้น มักมองเห็นว่าเราเป็น มันก็เหมือนเราเห็นตนเองในกระจก ทีนี้พวกที่ฝึกปฏิบัติมากๆ
เวลามันเห็นมันเข้าถึง มันก็เห็นจากเงาในกระจก เหมือนกันนั่นแหละ มันคิดว่าเป็นมันเป็น

เพียงแต่มันไม่รู้ ว่าสิ่งที่รู้เห็น มันเป็นแค่เงาที่สะท้อนออกมาจากกระจก มันเห็นชัด
และยืนยันได้ ว่าเป็นสิ่งที่มันเห็นจริงๆเป็นความจริง รู้จริงและถอดถอนจริงๆ เป็นเจ้าของแห่งการไร้ตัวตน

แต่ความจริงที่มันไม่รู้กัน คือ ที่มันเห็น มันเป็นเงาที่มันเข้าไปเป็นเจ้าของการเห็น มันเห็นสิ่งที่สะท้อน
เพราะไม่รู้ว่า เหตุแห่งการสะท้อนนั้น เกิดจากไหน

 

มันเอาเงาสะท้อนมาหลงเป็นตัวตน ว่าเป็นจริง มันไม่เห็นว่าความจริงที่มันเห็น เป็นเงาสะท้อน
ไม่ใช่ของจริง แต่มันก็ยังหลงบอกว่านี่แหละของจริง มันเป็นจริงๆ เพราะมันรู้มันเห็นอยู่

สิ่งที่มันไม่รู้ก็คือ มันไม่มองเห็นตัวมันแสดง มันไปเอาการแสดงของตัวมันที่มันเห็น
แล้วหลงว่านั่นแหละเป็นตัวมัน เพราะมีมันเฝ้ามองอยู่ มีมันเป็นผู้เฝ้าดู จึงยึดว่า มันเป็นผู้รู้ผู้ดู ไม่ใช่ผู้ที่กำลังแสดง

เมื่อไม่หันมาเห็นตนเอง หรือทำลายกระจกให้แตกไป ยังไง ใจก็ยังหลงไหลอยู่แต่กับเงา ที่มองเห็น
และเป็นจริงด้วยความหลง ไม่มีทางถอดถอน นี่แหละ อำนาจแห่งอวิชชาที่มันแสดง

 

และมันไม่หันมาเห็นตัวมันแสดง มันมองไม่ได้ เพราะมันไม่ได้เป็นผู้แสดง
มันกำลังเป็นผู้ดู มันจึงไม่รู้ว่ามันเป็นผู้แสดงที่เป็นผู้ดู มันไม่เคยรู้ตัว

 

มันเข้าใจว่าไม่มีผู้ดูมัน ที่มันดูการแสดงอีกแล้ว เพราะมันเองเป็นผู้เพ่งผู้รู้ผู้ดู การแสดงทั้งหลายอยู่
มันไม่รู้ว่าที่มันเฝ้าดูเฝ้ารู้อยู่ มันเป็นแค่เงาที่กำลังแสดงด้วยตัวมัน

 

ตัวมันเป็นขวานที่โค่นไม้ทำลายได้ทั้งโลก แต่มันโค่นด้ามที่เป็นไม้เล็กๆ ของมันไม่ได้
เพราะมันเข้าใจว่า มันคือขวานใหญ่ ที่โค่นใครๆ ต้นไม้ไหนๆ ได้ทั้งโลก

 

เหลือแต่ไม้ติดด้ามมันเท่านั้น ที่มันไม่ได้โค่น ที่มันไม่ได้โค่น เพราะมันไม่คิดว่า ตัวมันเองก็เป็นด้ามไม้
มันหันไปมองที่ไหนก็ไม่เห็นไม้ แต่ความเป็นไม้ในตัวมัน เจ้าขวานมันมองไม่เห็น

 

ตราบใดที่ไม่เห็นเจ้าของ มันก็ย่อมไล่ไขว่คว้าเงาตลอดไปไม่รู้จบ บางท่านถึงขั้นทำลายเงาในกระจกได้
และรู้ว่านี่เป็นแค่เงา แต่พอทำลายเงา ก็เป็นผู้ไร้เงาที่จะสะท้อน ใจตนเอง

 

นี่…ก็ไปไม่ถูกอีก ต้องงมและค้างหาตัวตนไม่เจออยู่นาน เข้าการดับแห่งใจตนไม่ได้อีกนี่..พวกอรหันตมรรค

คืนนี้พอแล้วนะโว๊ย เดี๋ยวยาวอีกดึกหลายๆแล้ว

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 18 กันยายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง