ดวงวิญญานแห่งเจ้าเจ๊ะเจ้าจอม

ดวงวิญญานแห่งเจ้าเจ๊ะเจ้าจอม

370
0
แบ่งปัน

****** “ดวงวิญญานแห่งเจ้าเจ๊ะเจ้าจอม” *******

เรามาว่ากันต่อ ณ.เช้าอันแสนสดใสที่บุญญพลัง

เจ้าเจ๊ะเจ้าจอม มาหาและกำชับอีกครั้งว่าขอให้มาโปรด พวกเธอเคยร้องเรียกและขอให้ช่วยเป็นร้อยๆครั้ง แต่ข้าไม่เคยสนใจเลย เธอว่างั้น

ข้าว่า ข้าเพิ่งมาเขมรไม่กี่ครั้ง ไม่เคยได้ยินใครร้องให้ช่วยนี่

เธอบอกว่า ไม่จริง ข้านี่ใจร้ายเรียกร้องเท่าใหร่ก็เมินเฉย

แต่ก็แสนดีใจ ที่พ่อใหญ่อย่างข้าได้หันมาและตอบรับที่จะช่วยเหลือในครั้งนี้

จริงๆข้าเองก็ไม่รู้จะช่วยเหลือยังไงเหมือนกัน ทำไม่ถูกว่ะ นี่พวกผีมันไม่รู้…

สิ่งที่ข้าจะช่วยได้ก็คือแสดงภูมิปัญญาที่เห็นแจ้งแทงลงไปในใจ เพื่อปลดปล่อยดวงวิญญานให้อิสระเสรี

แต่พวกเขาไร้รูปหยาบอันเป็นเครื่องมือที่จะตรึกตรองและบันทึกที่จะรับและขยายได้

แม้ว่าจะชี้ให้มีกำลังด้วยการมีหนทางหาทางออกด้วยภูมิกำลังของพวกเขา เขาก็รับไม่ได้

แผ่เมตตาหรือกุศลก็รับไม่ได้ วิญญานที่ทุกข์ย่อมเล็งในสิ่งที่ตนต้องการเท่านั้น มันบันทึกเหตุมาเป็นอย่างนั้น

ต้องช่วยปลดโซ่ตรวนแห่งอุปาทานก่อน พวกเขาไม่เข้าใจว่าบัดนี้ พวกเขานั้นไม่มีร่างให้ทุกข์ด้วยกายวิญญานแล้ว

ความทุกข์ที่เผชิญ มันเป็นความทุกข์แห่งอุปาทานที่พวกเขายึด และยึดอย่างไม่ปล่อยไม่วางด้วยอคติธรรม ที่พวกเขาเข้าใจว่าเขาเป็น

เรื่องพวกนี้มันซับซ้อน ข้าเข้าใจ แต่เห็นได้ชัดแทงใจว่าสรรพสิ่งทั้งหลาย เกิดมาล้วนเป็นทุกข์

รุ่งเช้าข้าออกจากสมาธิลงมายังลานหน้าโรงแรม รอรถที่ทางไกด์จัดเตรียมให้ไปส่งที่ศาลเจ้าเจ๊ะเจ้าจอม

ปรากฏว่ารถยังไม่มา หัวหน้าไกด์ขอให้พวกเราทานข้าวก่อนไม่ต้องรีบ

ข้าพยักหน้าแต่เดินออกมากวักมือเรียกรถตุ๊กๆของเขมร มันเบรคเอี๊ยดดด กลางถนน หันหัวมาหา

ข้าขึ้นไปบอกว่าไปศาลเจ็าเจ๊ะเจ้าจอม และบอกให้ทุกคนที่ยังยืนงงๆ ให้เรียกรถตามไปเอง กูไม่รอพวกไกด์ทัวร์มันหรอก

ทุกคนจึงเฮตาม กวักมือเรียกรถตุ๊กๆกันหนุกหนาและแย่งขึ้นไปนั่งอัดเข้าไปเสียงเฮฮา

หัวหน้าไกด์ยืนงง อ้าปากค้างแต่ไม่ทันแล้ว ข้านำขบวนผลัดกันแซงกับพวกน้องๆป้าๆ เป็นขบวนยาวเหยียดไปโน่นแล้ว

รถตุ๊กๆกว่ายี่สิบคันผลัดกันวิ่งแซงกันและเสียงเฮดังลั่นถนน ตลอดเส้นทางไปศาลเจ้าเจ๊ะเจ้าจอม

ข้านี่ไว ไม่ค่อยชอบรอใครที่เนิ่นนานและอ้อยอิ่ง พวกคิดช้าทำช้านี่ ไม่ทันข้าหรอก ทิ้งแม่งมันไว้ให้คลานมาเอง

ที่ศาลเจ้าเจ๊ะเจ้าจอม เขาก็ตกใจ ที่จู่ๆมีผู้คนเป็นร้อยเดินเข้ามายามเช้า

ข้าเข้าไปยืนตรงหน้าพระพุทธรูป อันเป็นตัวแทนเจ้าเจ๊ะเจ้าจอม พวกเขาจัดอาสนะให้นั่ง

ข้าเอาบาตรที่ข้าใช้นี่แหละ บอกเติมน้ำลงไป ขอเทียนชัยสามเล่มมาเตรียมพร้อม

ทำการขอขมากรรม สวดพุทธัง และจบลงด้วยอิติปิโส ทำอะไรไปมั่งก็จำไม่ได้ ข้าก็ว่าไปเรื่อยแหละตามที่คิดได้

หยดเทียนลงบาตรเจริญพุทธมนต์ แล้วเข้ากรรมฐานเพิ่มพลานุภาพแห่งเจตนาแผ่เมตตาและกำลังแห่งฌาน ขยายกว้างออกไปเพื่อปลดโซ่ตรวนอุปาทาน

เสียงสาธุคุณกระหึ่มขึ้นในโสตจนขนหัวลุกตั้ง จากนั้นจึงคลายสมาธิออกมา

ข้าเอาดอกบัวมาจุ่มน้ำพุทธมนต์แล้วสลัดออกไปทั่วทิศทั่วทาง

เจ้าจอมได้ผ่านร่างเจ้าน้อง ก้มลงกราบและเรียกชื่อ พระอาจารย์แห่งบุญญพลัง

ข้าเอาดอกบัวจุ่มน้ำพุทธมนต์เคาะหัวตุ๊บๆๆ หวังว่านางคงไม่ลุกขึ้นมาเตะปาก

จากนั้นพวกเราก็เฮกันเข้ามาให้เคาะหัวด้วยดอกบัวจุ่มน้ำพุทธมนต์ อาจารย์ทางนี้ๆ ทางโน้นพอแล้ว มันแย่งกันลั่นศาล ทั้งเขมรทั้งไทย

น้ำมนต์นี่ ทำให้ผีเพื่อไล่เสนียญจัญไร และปลดโซ่ตรวนจากพันธนาการจิตมันเป็นอิสระ

แต่ผู้คนชาวเรากลับเฮกันเข้ามาก้มหัวให้เคาะแย่งพวกผีซะนี่ ผีเข้าไม่ถึง ผีนั่งนิ่งเฉยงงกับพวกลิงที่กรูกันเข้ามาแย่ง

ข้าให้ท่านวินอุ้มบาตรและเดินสลัดน้ำพุทธมนต์ไปทั่วรอบศาล ออกจากศาลก็เดินออกไปยังอีกศาลที่ชื่อ ย่าเทพ

อันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสาหลักคู่บ้านคู่เมืองเขา ซึ่งย่าเทพนี่ ท่านก็ไปหาข้าเช่นกันเมื่อวันแรกที่เจ้ามาถึง

เสร็จพิธีเป็นอันว่าโอเค รู้สึกได้ถึงกระแสอิ่มเอิบใจ และมีกระแสอาฆาตแค้นรุนแรงซึมแทรกอยู่

ช่วงทำสมาธิเจ้าเจ๊ะเจ้าจอมได้เล่าว่า พวกเธอนี่อยู่ในตระกูลขุนนาง เป็นบุตรของนางสนมที่โปรดปรานของกษัตรย์

เมื่อพุทธเข้ามาแพร่หลายในอาณาจักร พวกนางเห็นว่า ความเชื่อที่ยึดกันมาแต่โบราณนี่ มันเป็นความงมงาย

พวกนางได้เห็นชัดถึงความเป็นจริงถึงสรรพสิ่งว่า เทพเจ้าที่เคารพกัน ไม่มีอำนาจดลบันดาลอะไรให้ใครได้

เหล่าพรหมณ์ผู้เป็นใหญ่ทั้งหลาย อุปโลกห์พิธีกรรม และทำตามใจตนด้วยอำนาจแห่งศรัทธาของเหล่าผู้คน ที่หลงกลัวในความงมงาย

พวกเธอเห็นว่าการฆ่านี่เป็นการเบียดเบียน เธออยากให้ผู้คนตื่นขึ้นมาเห็นความจริงที่พวกเขาต่างงมงาย

ในอาณาจักรขอม มีกษัตรย์หลายพระองค์ ต่างแบ่งแยกปกครองหัวเมืองแห่งตนไม่ได้ขึ้นอยู่กับใคร

ทุกหัวเมืองอยู่กันด้วยความสงบสุขผลัดกันยิ่งใหญ่ และเกรียงใกรด้วยแสนยานุภาพที่ไม่เท่ากัน

อาณาจักรขอมกว้างและยิ่งใหญ่ เป็นหนึ่งเดียวในโลกที่ไม่มีอาณาจักรไหนจะมาเทียมเท่า

พวกเขามีอิสระทางความคิด เมื่อพุทธแผ่ปัญญาเข้ามา พวกเธอจึงเห็นแจ้งในความจริง ที่โดนปกปิดด้วยความเชื่อของโบราณกาล

พวกเธอโดนจองจำด้วยมนต์ตราแห่งชาวขอมด้วยกัน พวกเธอหาทางออกกลับไปสู่เมืองไม่ได้

พวกเธอหาทางออกไม่เจอและแก้มนต์ตราที่เป็นโซ่ตรวนรัดรึงวิญญานนี้ไม่ได้

พวกเธอรอคอยมานานแสนนาน และเรียกร้องยามกระแสจิตข้าเข้ามาใกล้ แต่ข้าไม่เคยสนใจ

พวกเธอโดนตรึงด้วยอำนาจแห่งมนต์ตรายานวิบากจากพวกมหาอำมาตย์ชั้นสูง

พวกราชนุกูลแห่งพราหมณ์ จะสูญเสียลาภและยศฐาบรรดาศักดิ์หากพระมหากษัตรย์คล้อยตามไปให้ความเคารพวิถีพุทธ

บิดาเธอเป็นผู้มีปัญญา และเล็งเห็นถึงความจริงนานาประการที่เป็นการงมงาย

บิดาเธอเปิดโอกาศให้ผู้คนนับถือศาสนาอะไรก็ได้ ตามความเสรีนิยม

และวิถีพุทธของท่านโฆษิตธรรม เป็นวิถีแห่งปัญญาที่ทำให้ผู้คนเห็นความจริงด้วยปัญญาแห่งตนที่ลูบคลำได้โดยไม่งมงาย

ผู้ที่จะทำให้พระบิดาเชื่อได้ก็คือพวกเธอ พวกเธอทำให้เหล่ามหาอำมาตย์แห่งพราหมณ์พากันคิดกำจัด

แต่ความเป็นบุตรแห่งกษัตรย์ พวกเขาทำอะไรพวกเธอไม่ได้

พวกเธอโดนอุบายให้ไปเจริญธรรมทำพิธีในหุบเขาแห่งพระสุเมน

จากนั้นมา พวกเธอก็ออกจากที่นั้นมาไม่ได้ หนทางที่เข้ามา มันเกิดหายไป

พวกเธอวนเวียนอยู่เช่นนี้ มานานแสนนาน

บัดนี้แสงสว่างแห่งปลายอุโมงค์ที่มืดมิดมายาวนาน ได้ทอแสงสว่างขึ้นมาด้วยดวงจิตที่ทรงพลานุภาพ

พวกเธอได้ปลดเอกแห่งโซ่ตรวนทิ้งลงไปได้ พวกเธอเป็นอิสระที่จะไปไหนต่อไหนได้

เธออธิฐานไว้ว่า จะนำพาพุทธศาสนาให้เจริญยิ่งยงและรุ่งเรือง จึงขอกราบแทบเบื้องเท้าพระอาจารย์แห่งบุญญพลังด้วยเศียรเกล้า

นี่..พวกเธอว่ากันอย่างงั้นคล่าวๆพอจะจำได้เล็กน้อยมาเล่าๆกันฟัง

จากนั้น พวกเราก็ต้องเผชิญวิบากกันด้วยเหล่าวิญญานที่มันเครียดแค้นและชิงชัง

ที่ข้าเสือกไปปลดปล่อยเหยื่อตัณหาแห่งมัน ที่มันได้กดขี่และควบคุมกันมาอย่าวยาวนานลง พวกมัน พากันแค้นหลายๆ

แต่ค่อยเล่าให้ฟังอีก ตอนนี้หลายคนรอกินข้าวอยู่..!!

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 10 ธันวาคม 2559 โดยพระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง