****** “การแตกแยกลัทธินิกายแห่งพุทธเรา” *******
<<<< พระอาจารย์ ทำไมพุทธไทยเราต้องแบ่งเป็น ธรรมยุตและมหานิกายด้วย
ในเมื่อต่างก็เป็นพระเหมือนกัน พระพุทธเจ้าก็องค์เดียวกัน เรียนตำราเดียวกัน แล้วทำไมต้องมาแยกโบสถ์แยกวัด ต่างฝ่ายต่างถือดี
ก็พุทธสอนให้ลดอัตตา แต่ดูว่าการแบ่งนิกายเช่นนี้ มันเป็นอัตตาทั้งดุ้น ช่วยขยายอธิบายหน่อยพระอาจารย์
<<<<< อธิบายหีนยานด้วย วันนั้นพระอาจารย์เรียก หียานๆ หนูข้องใจ ฟังมันดูหยาบโลน หนูๆโลกสวยรับไม่ได้นะค่ะ
>>>>> นี่พวกแกไม่พอใจ ที่พระเราไปเดินเรื่องทำหนังสือแล้วไม่ผ่านละซิท่า จึงมาโวยวายเอากะข้า
ข้าจะขยายให้ฟังคร่าวๆก็แล้วกัน เอาแต่เหตุโน่น จะได้ไม่ต้องสงสัยดีไม๊
<<<<< ดีๆๆๆๆเลยค่ะ จะตีตั๋วรอแถวหน้าเลยค่าาา
<<<<< ตั้งใจเลยครับหลวงตา
>>>>> พุทธนี่ เมื่อถึงพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ไม่กี่ปี
ฝ่ายหนึ่งก็ยึดพระธรรมวินัยที่ได้ทำการสังคายนา
ส่วนหนึ่งดันอยู่ป่า ไม่รู้ว่า เขาได้ยึดธรรมวินัยกัน
ทีนี้พวกอยู่ป่า พอเข้ามาในเมืองด้วยจริตนิสัยจึงทำให้ดูเหมือนว่าผิดพระธรรมวินัยบางข้อ
พวกพระเมืองมันก็เกิดการเพ่งโทษ ฝ่ายพระ พระท่านก็ไม่ยอมรับ ท่านถือว่า
ท่านนั้นได้รับการสาธุการต่อหน้าพระพักตร์
ท่านเข้าใจโลกตรงตามความเป็นจริง
ท่านกล่าวว่า ท่านไม่มีอาบัติตามตำราที่พวกเดียร์ถีย์มันทำกันขึ้นมา
นี่..ท่านถือว่า ข้อวินัยต่างๆ เป็นเรื่องของพวกนอกศาสนาที่บวชเข้ามาต้องรักษาใจ เพราะส่วนใหญ่บวชเข้ามาหากิน และวาง กาย วาจา ใจ ไม่ถูก
บวชแล้วทำในสิ่งไม่ควร พระพุทธองค์ท่านก็ทรงห้ามไว้ว่าอย่าทำ แต่พวกท่านนั้นไม่ใช่ ท่านมีใจที่เป็นศีลเป็นตัวรักษา กาย วาจา ใจ อยู่แล้ว
ไอ้เรื่องศีลต่างๆนี่มันเกิดจากพวกนอกศาสนาต่างๆที่บวชเข้ามา แล้วทำเรื่องไม่เหมาะสม
เมื่อเกิดการฟ้องร้องต่อพระพุทธองค์ พระองค์ท่านจึงทรงกล่าวห้าม เพื่อให้พุทธบริษัทจำนวนมาก จะได้ไม่เป็นที่เพ่งโทษจากเหล่านอกศาสนา
ทีนี้ เมื่อได้ทำการรวบรวมสังคายนา เป็นพระธรรมวินัยให้ผู้บวชใหม่ได้เรียนรู้ พระผู้อยู่ป่าซึ่งไม่ได้เข้ามารับรู้ในเรื่องการสังคายนา
ซึ่งท่านก็ไม่สนอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องของพระบวชใหม่ที่ต้องรักษาใจ
เมื่อเหล่าพระเมืองมันเพ่งโทษด้วยข้อแห่งพระธรรมวินัย
พระป่าเหล่านั้น จึงได้แยกตัวเองกันออกไป
ท่านสั่งสอนเรื่องสติและปัญญาญานที่ท่านเข้าใจซะเป็นส่วนใหญ่
พอนานวันขึ้นถึงรุ่นต่อรุ่น ความเป็นนิกายก็เริ่มแบ่งแยก
อีกฝ่ายไม่เอาเรื่องพระธรรมวินัย ไม่เอาพระอภิธรรม
เอาแต่พระสูตรต่างๆ ที่พอจะชี้เป็นอุปมาอุปไมย
พระเมืองกะพระป่าก็เริ่มแยกจากกัน
ทีนี้แม้พระป่าเองก็มีความเห็นแย้งแยกย่อยกันออกไปตามภูมิและจริตวิสัย เกิดนิกายต่างๆขึ้นมามากมาย
พอๆกับพระเมืองที่ต่างก็เริ่มแยกเป็นนิกายความเห็นต่างออกไป แต่ทั้งหมดก็พอแยกได้เป็น มหายานกับหีนยาน
มหายานนี่ เป็นพุทธแบบกว้าง เชื่อการเป็นพระโพธิสัตว์
แสวงบุญเพื่อขนสัตว์ไปในความพ้นทุกข์
ส่วนพวกหีนยาน เชื่อในเรื่องการแสวงหาเพื่อความพ้นทุกข์ในอัตภาพนั้นๆ ด้วยตัวตนเอง
ในยุคของพระเจ้าอโศกนี่ มหายานกับหีนยานแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน
เรียกว่า ฝ่านเหนือกับฝ่ายใต้
มหายานนี่ เป็นนิกายของภิกษุฝ่ายเหนือของอินเดีย
บาลีเรียก “อุตรนิกาย” (นิกายฝ่ายเหนือ) บ้าง “อาจารยวาท” บ้าง ต่างก็โม้น้ำลายฟุ้งกระจายกันไป
ซึ่งมีจุดมุ่งสอนให้ระงับดับกิเลส ทั้งยังได้แก้ไขคำสอนในพระพุทธศาสนา ให้ผันแปรไปตามลำดับตามความนึกคิดตรึกตรงเฉพาะตน
พวกนี้เรียกลัทธิของตนว่า “มหายาน” ซึ่งแปลว่า “ยานใหญ่” ด้วยความคิดเห็นว่า
การบำเพ็ญตนเพื่อสร้างสมบารมีแบบพระพุทธเจ้านี่ซิ จึงจะพาประชาชนให้ข้ามวัฏสงสาร คือ ความทุกข์จาการเวียนว่ายตายเกิดได้คราวละมาก ๆ
ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อเอาแต่ตัวเองรอดแบบลัทธินิกายฝ่ายใต้ ที่ช่วยใครๆไม่ได้ ปฏิบัติเอาแต่ตัวเองหลุดพ้นเป็นหลัก
อย่างนี้มันเห็นแก่ตัว การจะเป็นผู้ขนสัตว์ออกจากสังสารวัฏ ต้องบำเพ็ญเป็นพระโพธิสัตว์ก่อน ต้องสละความสุขส่วนตนก่อน
นี่..ทางฝ่ายเหนือเขาว่าเขามาอย่างนี้ เขาไม่เอาตัวเองรอดคนเดียว
นิกายนี้ได้เข้าไปเจริญรุ่งเรื่องอยู่ในประเทศทิเบต จีน มองโกเลีย ญี่ปุ่น เกาหลี และเวียดนาม
ส่วนหีนยาน เป็นนิกายของภิกษุฝ่ายใต้ของอินเดีย บางทีเรียก “ทักษิณนิกาย” (นิกายฝ่ายใต้) คือ “เถรวาท”
ซี่งมุ่งสอนให้พระสงฆ์ปฏิบัติเพื่อดับกิเลสในใจของตนเองก่อน และห้ามเปลี่ยนและแก้ไขพระธรรมวินัยอย่างเด็ดขาด
คำว่า “หีนยาน” เป็นคำที่ฝ่ายมหายานตั้งให้ แปลว่า “ยานเล็ก” จริงๆถ้าเรียกให้ถูกต้อง ต้องเรียกว่า ” หียาน ”
<<<< ตกลงหียานหรือหีนยานคร๊าบบ พระอาจารย์
>>>> มึงไม่ต้องแกล้งสงสัย มึงอยากเรียกอะไร มึงก็ฝักไขว่ไปทางนั้นละกัน
แหมมพอเขียนเรียกว่าหียาน พวกมึงก็อมยิ้มมีแผนทำตากรุ้มกริ่มกันทันทีเชียว
ภิกษุฝ่ายใต้เรียกตัวเองว่า “เถรวาท”หมายถึง ผู้ปฏิบัติตามพุทธบัญญัติอย่างเที่ยงตรงเคร่งครัด
นิกายนี้มีผู้นับถือมากในประเทศศรีลังกา พม่า ลาว ไทย และกัมพูชา
นี่ว่ากันพอคร่าวๆ
ทีนี้ พวกเถรวาทนี่ หรือพวกหียาน..เอ้ย หีนยานนี่ เห็นไม๊…กูเลยติดปากเลยไอ้เหี้ยยเอ้ยย!!
มันก็มาเผยแพร่ธรรมแบบมีตำราครบตามพระไตรปิฏกอย่างที่เราเรียนๆกัน
ส่วนพวกมหายาน เขาเผยแพร่ธรรมด้วยพระสูตรอย่างเดียว ไม่เอาพระธรรมวินัยและอภิธรรม
พวกมหายานยึดเอาพระมหากัสปะเป็นต้นแบบและเป็นปฐมสาวกแห่งมหายาน
ส่วนพวกเถรวาทยึดเอาคำสั่งสอนของการสังคายนามาเป็นพระพุทธเจ้าที่จะต้องเดินตามเป็นต้นแบบ
และพวกเถรวาทในไทยเรานี้ มันก็มาแบ่งออกเป็นมหานิกายกับธรรมยุตินิกายอีก
เมื่อก่อนมันก็เป็นมหานิกายเดียวนี่แหละ เรียกว่าเถรวาท แต่เป็นเพราะแปลเขามาผิดๆถูกๆ
การศึกษาด้านพระธรรมวินัยมันเลยเฮงซวย พระต่างๆมันก็เลยเฮงซวยหย่อนยานพระธรรมวินัยมาตั้งแต่โบราณกาลโน่นแล้ว
เป็นพวกประเภทยืนเกาะรั้ววัด เวลาสาวๆเดินผ่านก็ผิวปาก ร้องเพลง ” โยมมม พระในวัดก็คิดถึงโยมมม…อะไรประมาณนี้
ต่อมาในรัชกาลที่สี่ น้องชายท่านที่เป็นพระสังฆราช
เห็นว่า พระมหานิกายนี่มันเฮงซวย
ท่านจึงตั้งนิกายธรรมยุติใหม่ขึ้นมา เพื่อว่า ลูกหลานชาววังผู้มีตระกูลได้บวชเข้ามาแล้วจะได้เป็นผู้ทรงพระธรรมวินัย จะได้แตกต่างจากพวกพระเฮงซวยพวกนั้น
ที่วันๆไม่ได้ทำเหี้ยอะไร บวชไปนอนไปกินไม่ศึกษาพระธรรมวินัย
เมื่อตั้งนิกายขึ้นมาใหม่ มันจึงเป็นนิกาย ที่ลูกหลานชาววังเขาได้เข้ามาบวช
เพื่อเป็นผู้บวชที่ทรงพระธรรมวินัยตามตำรา
ชาวบ้านทั่วไปและผู้ยากจนต่างเห็นว่า นิกายนี้เป็นนิกายของพระชาววัง เป็นนิกายของตระกูลพระราชา
ต่างก็อยากบวชเป็นพระอย่างชาววังเขาบ้าง เพื่อยกฐานะตน
ด้วยเหตุนี้ คำว่า ทิฏฐิพระมานะกษัตริย์มันจึงเกิดขึ้น
บวชเพื่อจะทรงพระธรรมวินัยมันก็มี
บวชเพื่ออวดตัวว่าเป็นนิกายแห่งธรรมวินัยนี่ก็มี
บวชเพื่อลาภยศอาศัยนิกายนี้ก็มี
บวชเพื่อเผยแพร่ธรรมวินัยนี่ก็มี
ส่วนพวกมหานิกายก็เลยกลายเป็นนิกายพวกลูกชาวบ้านไป
นี่ นิกายต่างๆมันก็เกิดจากความเห็นแย้งของผู้คนนี่แหละ
มันทำให้สงฆ์แตกแยก
ต่างก็อยากแย่งเป็นพระสังฆราช ต่างฝ่ายต่างเชียร์นิกายตน
วงการสงฆ์เองมันก็เฮงซวย การกระทำตัวมันแย้งกับความเป็นภิกษุผู้ออกบวชมาเพื่อละเพื่อสละโลก อย่างที่ตนเองชี้สอนคนอื่น
ผู้หลักผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ก็แค่คนแก่อาศัยศรัทธาชาวบ้าน มีความเป็นอยู่อย่างราชา
ผิดกับข้อธรรมวินัยที่ตนใช้ขู่ฆ่า อารยธรรมการดำเนินของผู้บวชใหม่ ใครผิดไปจากพระธรรมวินัยที่ตนเล็งเห็น มันก็จะบีบให้ตายคามือ
แต่ตนเองนั้นเฮงซวย เป็นเถรวาทแต่เอาความคิดตนมาชี้นำ เหมือนพวกมหายานที่ฝ่ายตน แย้งความคิดและไม่เห็นด้วย
นี่..การเปลี่ยนยัญติมันจึงเกิดขึ้น
บวชแล้วไม่ชอบใจก็เปลี่ยนญัตติ เปลี่ยนไปเปล่่ียนมาโดยไม่รู้ว่าการบวชมันไม่เกี่ยวกับญัตติหรือความเป็นนิกาย
บวชก็คือบวช สละแล้วก็มาอยู่อบรมใจตน
แต่นี่ยังต้องเป็นทาสของสมาคม
ถ้าสมาคมมันมีพระผู้ทรงคุณมีพระธรรมวินัยดีเป็นตัวอย่างนี่ก็ว่าไปอย่าง
นี่แต่ละตัวยังกะเป็นนายกที่ต้องเอาอกเอาใจและอยู่อย่างมหาราชา มีรถประจำตำแหน่ง มีเลขา มีหน้าห้องมันก็ไม่ต่างกับประชาชนทั่วไป
ด้วยเหตุนี้ข้าเองก็ไม่ได้ไปสนใจ
ข้าน่ะสนใจแต่พระ พระที่เป็นพระจริงๆ
เมื่อพระเราจำเป็นต้องเปลี่ยนญัตติ
เปลี่ยนก็เปลี่ยนไป ไม่มีผลอะไรต่อการบวชการปฏิบัติธรรม
โอเค ร่ายมาซะยาว ตกลง หียาย เอ้ย..หียานนะ
<<<< หีนยานคร๊าบบบ อาจ้าน
พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 27 ตุลาคม 2559 โดยพระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง
ณ พุทธอุทยานบุญญพลัง อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี