***** “เรื่องจิตวิญญานที่หาฟังได้ยาก” *****
มีน้องเขาถามมาว่า สัตว์ที่เราฆ่านั้น วิญญานเขาที่ไม่หมดอายุขัยก็มีใช่ไหม
ต้องตอบว่ามีข้าจะอธิบายขยายให้ฟัง
สัตว์ทั้งหลายนั้นเขา เสวยภูมิอบายของเขาอยู่แล้ว
เพียงแต่วาสนาภูมิของสัตว์ในอบาย มันอาจแตกต่างกัน
ในนรกก็อย่างหนึ่ง เปรตก็อย่างหนึ่ง อสูรกายก็อย่างหนึ่ง เดรัจฉานก็อย่างหนึ่ง
ภูมิอบายที่เขาเสวยนี่ ก็ต้องอธิบายขยายแยกย่อยกันออกไปอีก
หากพูดถึงเดรัจฉานนี่ เขามีวาสนาภูมิที่สร้างรูปรวมธาตุขึ้นมาได้เองตามวาสนาวิบาก
ด้วยเหตุนี้ อายุขัยวิญญานเขาก็มีเช่นกัน แต่บางอย่างที่มีอายุแค่ชั่วโมงเดียวแล้วเคลื่อนภูมิแห่งอัตภาพนี่ก็มี
ส่วนสัตว์ใน นรก เปรต อสูรกาย ไม่มีอายุขัยวิญญาน เมื่อจบจากภูมิหนึ่ง ก็ดิ่งไปเสวยอีกภูมิหนึ่งในทันทีตามอำนาจแห่งวิบาก
แต่สัตว์เดรัจฉานนี่ เขามีภูมิวิบากแห่งรูปนาม วิญญานเขาอาศัยธาตุสี่ที่รวมรูปด้วยอำนาจแห่งวิบาก
หากเราไปฆ่า สั่งฆ่า รู้เห็นเป็นใจในการฆ่า เป็นการทำลายรูปเขา
ไม่ว่าจะเป็น กุ้ง หอย ปู ปลา หมู เป็ด ไก่ ช้าง ม้า อะไรก็ตาม ที่เป็นไปโดยเจตนาข้างต้น
อายุขัยแห่งวิญญานสัตว์ที่ยังเสวยวิบากในรูปยังไม่หมด
วิญญานเขาก็มาสิงอาศัยรูปที่มีเจตนาต้นเหตุแห่งการทำลายล้างรูปเขาต่อไป
คนที่ฆ่าสัตว์ อายุจะสั้นและเป็นโรคภัยเบียดเบียน
นี่เป็นวิบากอย่างหนึ่งของวิญญาณสัตว์ ที่ต้องเสวย
เมื่อสัตว์ต้องเสวยผลวิบากอกุศลด้วยอำนาจแห่งผัสสะรูป
เราเจ้าของผู้สั่งทำลายรูป ก็ย่อมต้องรับวิบากของเขาที่เขาต้องเผชิญ ไปพร้อมๆกับเราที่อาศัยรูปนี้ด้วย
ท่านผู้รู้ ท่านเห็นชัดตรงนี้ ท่านจึงชี้แนะว่า อย่าไปเบียดเบียนและทำลายรูปของผู้อื่น ด้วยเจตนาแห่งเรา
เจตนาที่ฆ่าเอง สั่งฆ่า รู้เห็นเป็นใจในการฆ่า สัตว์ต่างๆเหล่านั้นเมื่อโดนทำลายรูป
วิญญานที่เหลืออายุขัย เขาก็จะมาสิงอาศัยอยู่ในรูปต้นเหตุแห่งการทำลายแทน
ท่านจึงให้ไปกินสัตว์ที่ตายไปที่เป็นซากแล้วเท่านั้น
อย่างเช่น เนื้อต่างๆที่ขายกันตามตลาด อย่างนี้ไม่เป็นไร
เพราะเขาตายจากการกระทำอันเป็นวิบากของเขาที่จะต้องเสวยไปตามเหตุปัจจัย ของเจตนาผู้อื่นที่เขาประกอบอาชีพเขาอยู่แล้ว
คำถาม >>> กราบสาธุคะพระอาจารย์ แสดงว่าเนื้อที่เขาวางขายตามตลาดนี้ไม่มีวิญญาณของสัตว์นั้นอาศัยอยู่แล้วใช่ไหมคะ
หรือมีอยู่แต่ไม่มีผลกับเราเพราะเราไม่ใช่ผู้ทำลายรูปเขา ด้วยเหตุว่ามีการบอกว่ากินเนื้อสัตว์แล้วทำให้อายุสัตว์เพราะวิญญาณที่อาศัยอยู่จะทำให้เราได้รับวิบากนี้
ขอพระอาจารย์ให้ความกระจ่างตรงนี้หน่อยค่ะ
พระอาจารย์ตอบ <<< สัตว์ที่เป็นซากแล้ว มันก็คือซาก
ไม่มีวิญญาณเจ้าของครอง
แม้เราจะนำเอามากิน เดี๋ยวมันก็สลายกลายเป็นธาตุ
แต่เจตนาของผู้กระทำและถูกกระทำนี่ มันเป็นบันทึกสัญญากันอยู่
เขาไปว่ากันเองตามวิบากของเขา
ส่วนเราผู้ซื้อมากินนี่ ไม่เกี่ยว เรามันแค่กินซาก
แม้ซากนั้นจะมีวิญญาณใดแฝง
มันก็แฝงแค่ชั่วขณะที่เป็นรูป ไม่นานก็สลายไปครองรูปอื่นใหม่
มันแตกต่างจากวิญญาณที่เป็นเจ้าของรูปที่โดนทำลายด้วยเจตนา
ซากที่เขานำมาขาย เราจะซื้อหรือไม่ซื้อ เขาก็ฆ่าของเขาด้วยวิชาชีพของเขาอยู่แล้ว
คนส่วนใหญ่เขาก็ว่ากันไปตามเหตุปัจจัยของพวกเขาอยู่แล้ว
เราแค่อาศัยไปตามเหตุปัจจัยของคนส่วนใหญ่ ซื้อไม่ซื้อ กินไม่กิน มันเป็นเรื่องของแต่ละคน
บางคนโต่งจัด ให้ความสำคัญต่อความคิดเห็นของตนเองว่า
หากเราซื้อกิน ก็เท่ากับว่า เราสนับสนุนการฆ่า
นี่..โต่ง เอาความคิดตนยัดเยียดให้แก่ผู้คนส่วนใหญ่ ให้มีความคิดเมตตาเหมือนตน
ตนไม่กินเนื้อสัตว์ เพราะไม่สนับสนุนการฆ่า แต่เรื่องเพ่งโทษคน หวดผู้อื่นด้วยความดีตน โลภ โกรธ หลง อยู่เต็มหัวใจ
ถูกใจก็ชอบใจไปซะหมด ไม่ถูกใจก็ไม่ชอบใจไปซะหมด นี่…มันก็เลวไม่ต่างจากคนกินเนื้อเขาเหมือนกัน
คำถาม >>> ขออนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ #แต่มีข้อสงสัยอยู่ว่า..พลังงานภายนอก / องค์แฝง / ร่างแฝง (ที่เชื่อว่าจริง)..ที่มาแฝงกายมนุษย์..ซึ่งเป็นกายเนื้อนั้น..เขามาแฝงเป็นระยะๆ หรือแฝงตลอดเวลาคะ?.แล้วที่ว่า บางคนมีมาแฝงกันหลายๆ กลุ่มพลังงาน นั้นจริงมั้ยคะ
พระอาจารย์ตอบ <<< มันแฝงตลอดเวลานั้นแหละ
อยู่ที่ว่า มันจะถอยออกมาบังคับรูปรึเปล่า
พลังงานมากันเป็นกลุ่มๆมันก็มี ตามแต่สัญญาที่ผูกพันกันมา
ที่เราบันทึกตรงนี้ เราได้ตายไป เเละเราก็ยังอยู่ที่เดิมตรงนี้
หลังจากเราตายไป กำเเพงถูกทุบรื้อ ต้นไม้ถูกโค่น เตียงโต้ะ ถูกเผา ไม่มีเเล้วในโลกมนุษย์
สิ่งที่บันทึกนี้ยังมีอยู่เดิมทุกอย่างหรือ
ไม่ครับ ในอายตนะนี้…!
เเละทุกอย่างถูกเปลี่ยนเเปลง สร้างเป็นคอนโด
วิญญาณจะเห็นสิ่งที่เกิดมาใหม่นี้หรือ
เปล่าครับ ที่เคยเป็นบ้าน เปลี่ยนเเปลงไปหมด
สิ่งที่เปลี่ยนเเปลงในอัตภาพอากาศวิญญาณเรามีสิทธิ์เห็น เเละรับรู้เเละบันทึกได้มั้ยครับอาจารย์
พระอาจารย์ตอบ <<< ทุกอย่างยังตั้งอยู่ที่เดิมโดยบันทึกสัญญา
แม้ความจริงทุกอย่างจะเสื่อมสลายไปแล้วตามกาลเวลา
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป หากวิญญาณมีรูปหรือยืมรูปมาบันทึกใหม่ทางอายตนะ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป มันก็จะบันทึกปัจจุบันเข้าไปแทนที่ ว่าสิ่งต่างๆก่อนหน้านี้นั้น มันไม่มี มันสลายไปแล้ว
มันจะบันทึก สิ่งใหม่ที่มีเข้าไปแทน แต่ต้องอาศัยรูปบันทึก
มันมีความจริงที่เกินพวกเรารู้อีกก็คือ
แม้นวิญญานนั่นจะได้รับการบันทึกใหม่ เกิดความทรงจำใหม่
บันทึกนั้นจะมีได้ก็ต่อเมื่ออาศัยร่างผ่านอายตนะเพื่อการรับรู้เท่านั้น
หากอออกจากร่างไปอยู่ในสภาพวิญญาน การบันทึกนั้น ในภวังค์วิญญานไม่มี
>>> กราบพระอาจารย์ค่ะแล้วตกลงปฏิบัติธรรมไม่บรรลุเลยหรอคะแล้วจะให้ทำยังไงหรอคะถึงจะบรรลุได้
พระอาจารย์ตอบ <<< การบรรลุเป็นเรื่องของคนบ้าอัตตา พุทธวิถีมีแต่เรื่องปัญญาที่หาที่สิ้นสุดไม่ได้
ไม่งั้น คงไม่แบ่งออกเป็น สุขวิปัสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญและปฏิสัมภิทาญาณอะไรออกมามากมาย
แถมยังมีพุทธวิสัย สาวกวิสัยและปัจเจกวิสัยอีก การบรรลุจึงไม่มีขอบเขตจำกัดเส้นชัย
มันว่ากันด้วยกำลังฌานบารมีที่สะสมกันมา
ธรรมบทนี้อธิบายเมื่อเช้า
เป็นธรรมอธิบายให้เพื่อนพระฟัง เพราะเพื่อนพระจะยึดในสมาธิที่ตนกระทำมากไปจนเข้าไม่ถึงปัญญา
การทำสมาธินั้น เป็นองค์ประกอบแห่งปัญญา ไม่ใช่เป็นตัวปัญญา
ข้านี่แช่อยู่กับสมาธิมาหลายภพหลายชาตินับครั้งไม่ถ้วน
แม้แต่ภพปัจจุบันนี้ ข้าก็หนักมาทางสมาธิ
สมาธินี่ มีผลทำให้เกิด เจโตวิมุติได้เหมือนกัน แต่ไม่รู้กาลไหนและเมื่อไหร่
มันมีเรื่องบารมีสะสมและวิบาก เป็นเหตุเป็นผลขวางอยู่
คนที่เข้าถึงสมาธิย่อมอธิบายสมาธิได้อย่างแตกฉาน
เพื่อนพระข้าทำสมาธิ หนักมาทางสมาธิ แต่อธิบายสมาธิไม่ได้
นี่เป็นนักสมาธิ ที่เป็นเด็กน้อยเริ่มฝึกหัดคัด ก.กา ที่พอเขียนได้เท่านั้น
ยังห่างไกลสมาธิที่คนทั้งหลายเข้าใจ
เป็นได้แค่สมาธิที่เขาว่าๆกันมาตามตำรา
แล้วตนเองก็ทึกทักเอาอาการที่เป็นว่าตนเป็นเจ้าของในอาการ…
คำถาม >>> หมายถึงมีอัตตา ใช่ไหมคะ พระอาจารย์
พระอาจารย์ตอบ <<< อัตตามันมีเป็นธรรมดาของทุกคนอยู่แล้ว
เพียงแต่อัตตาที่ขาดปัญญา มันเป็นอัตตาที่มีผลมาทางฟากอกุศล
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2559
ณ พุทธอุทยานบุญญพลัง อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี