วิถีธรรมแห่งปัญญาญาน

วิถีธรรมแห่งปัญญาญาน

399
0
แบ่งปัน

****** “วิถีธรรมแห่งปัญญาญาน” *****

คนเรานั้นมีวิบากเป็นเครื่องอยู่ มีกรรมเป็นการกระทำให้เกิดวิบาก

วิบากใดๆก็แล้วแต่ ที่เราเผชิญ ที่เราผัสสะปรากฏขึ้นแก่กายและใจเรา

สิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มาจากการกระทำอันเกิดจากกาย วาจา ใจ ของเราเจ้าของทั้งสิ้น

เป็นเพียงแต่เราไม่ทราบว่าเราได้กระทำเอาไว้ตั้งแต่กาลไหนเท่านั้น

กรรมต่อเนื่องจากอดีตชาติก็มี ปัจจุบันชาติก็มี มันส่งผลออกมาเป็นวิบากให้เจ้าของได้เสวยต่อเนื่องเป็นสายใย ในการครองรูป

การเกิดนี่เป็นทุกข์ทั้งสิ้น กรรมมันมีผลทั้งกุศลและอกุศล คนเรานั้นชอบวิบากกรรมทางกุศล และทุกข์กับวิบากกรรมอันเป็นอกุศล

กรรมอันเป็นกุศล ให้ผลกับเจ้าของ เจ้าของชอบใจ ความชอบใจนี้ เป็นเสบียงในการดำเนินต่อไปในวัฏฏะ

ผลบุญแห่งกุศล เป็นบุญที่แหวกออกจากวัฏฏะแห่งความทุกข์ยากแทบไม่ได้เลย แต่เราชอบใจ

วิบากแห่งอกุศล คือความทุกข์ทั้งหลายที่เจ้าของเผชิญ ผลวิบากนี้ เป็นเหตุให้เจ้าของวิบาก หาหนทางออกจากวัฏฏะออกจากวังวนแห่งทุกข์ได้ แต่เราไม่ชอบใจ

ฟังดูเราอาจไม่เข้าใจ แต่สำหรับปราชญ์ทั้งหลาย ท่านเอาทุกข์ที่เผชิญนี่แหละ มาก่อกำเนิดเกิดเป็นปัญญาทั้งนั้น

ข้าเข้าไปอยู่ในป่าคนเดียว ข้าถามตัวเองว่าเข้ามาอยู่ทำไม ไม่มีอาหาร ไม่มีที่นอนที่เคยๆ ไม่มีอะไรที่เคยเป็นอยู่ทั้งนั้น

หิว หวาดกลัว หนาว เกิดความหวาดหวั่นขึ้นกับใจยามต้องเผชิญแต่เพียงลำพังผู้เดียว

สมาธิท่ามกลางความหิว มันไม่เป็นสมาธิ

สมาธิท่ามกลางความหวาดกลัว มันไม่เป็นสมาธิ

สมาธิท่ามกลางความทุกข์จากเวทนาทั้งหลาย มันไม่เป็นสมาธิ

สมาธิแม้จะข่มเวทนาได้ มันก็เป็นเวทนาที่มันเคยชิน

เวทนาที่ร้อนแรง เร่าร้อน เวทนาทางใจที่ตื่นตระหนก ความน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง สมาธิเอาไม่อยู่

แม้เอาอยู่ เป็นสมาธิ แต่เมื่อออกจากสมาธิ มันก็เกิดทุกข์จากเวทนาที่ปรากฏเหมือนเดิม

สมาธิที่เราเข้าใจและฝึกฝนมายาวนานและมั่นใจ เมื่อต้องเผชิญศึกใหญ่ตรงต่อความเป็นจริง มันอาศัยสมาธิและสติอย่างเดียวไม่ได้

สิ่งที่เป็นอาวุธอาศัยได้ ในการฟาดฟันยามอยู่ป่าผู้เดียวก็คือ ปัญญา

อะไรคือปัญญา นี่คือสิ่งสำคัญ

ปัญญานี่อาศัยทุกข์ ในการตกผลึกทางความคิด

ปัญญานี่ ประกอบด้วย สมาธิ ศีล ของเจ้าของที่ดำเนินมาทางมรรค

มรรคนี่ ประกอบด้วยศรัทธา ปัญญา อันมีสติ มีสมาธิและความเพียรอันเป็นเครื่องอยู่

สิ่งเหล่านี้ เมื่อเจ้าของต้องมาเผชิญความจริงอย่างโดดเดี่ยวลำพังแต่เพียงผู้เดียว

เมื่อพร้อมด้วย ศรัทธา ปัญญา สติ สมาธิ วิริยะ ช่องทางแห่งทางออกจากทุกข์มันจะเปิดกว้างด้วยการรู้แจ้ง

การรู้แจ้งนี่ เป็นตัวปัญญาญาน มันหาทางออกได้ในท่ามกลางเวทนาทั้งหลาย ที่เราเรียกว่าทุกข์

ข้านี่ไม่มีข้าวกินเป็นเดือนๆ ทุกข์ทางกายมาก แม้จะเตรียมใจมาเป็นอย่างดีก็ตาม

สามสี่วันแรก มันหิวหนัก ไม่ได้กินอะไร มันก็ยังพออยู่ได้ พอถึงเวลาที่มันเคยกิน เมื่อไม่ได้กิน มันก็เกิดเวทนา อย่างแสนสาหัส

แต่เมื่อผ่านกาลที่มันเคยได้แดกได้ยัดลงไป ความหิวทั้งหลายก็จะทุเลาลง

นี่..ตรงนี้ ทำให้ข้าไม่กินอะไรก็เพื่อเอาใจมาสอดส่องวินิจฉัย อาการแห่งกายและจิตตรงนี้ยามมันหิว

ทุกวันข้าจะรอให้ถึงเวลาหิวที่รุนแรง เพื่อหาเหตุแห่งความหิวที่รุนแรงนั้น มันเกิดมาจากอะไร

ข้านี่กินข้าววันละมื้อตั้งแต่บวชมาวันแรก กินตอนเก้าโมงครั้งเดียว มันก็จะหิวช่วงตอนเก้าโมงครั้งเดียวเหมือนกัน

แต่พอเลยไปสายจัดๆหรือเที่ยง ความหิวทั้งหลายมันก็จะหายไป เหลือแค่สัญญาเท่านั้น ว่ามันไม่ได้กิน

เมื่อสัญญามันมี ความอยากมันก็เลยมี จริงๆมันเป็นความอยาก ไม่ใช่ความหิว

ความอยากนี่มันเป็นกิเลส ความอยากนี่มันเป็นตัณหา เป็นกามที่ทักทอสายใยในการเลี้ยงรูป นี่ธรรมดาหน้าที่ของมัน

หากเรากินมื้อเดียวโดยปกติ เวทนาแห่งกายและใจ มันก็จะไม่เกิด มันไม่ต่างจากการกินหลายๆมื้อ

แต่การมาอยู่ป่า อาหารไม่มี มื้อเดียวก็ไม่มี เวทนาอันแรงกล้า มันจะกำเริบให้เจ้าของนี่ ทุรนทุรายในความอยากแห่งความหิวโหย

ข้าหิวสะสมจนมันเคยชินเกิดความไม่หิว ในความหิวอันเป็นธรรมดานั้นๆ

เช่นนี้นานวันเข้า มรรคผลก็ไม่เกิดอีก มันจะตายฟรีเอา ถึงจุดหนึ่ง เมื่อเวทนามันทรงตัว ใจมันไม่หิว

หิวแต่ไม่ทุกข์ร้อนกับความหิว สมาธิที่ตั้งมั่นมันก็ก่อเกิด ใจมันออกไปรู้เห็นอะไรมากมาย

การรู้เห็นนี่ เป็นการปรุงแต่งจิต จิตมันปรุงแต่งว่ามีเทวดานำอาหารทิพย์มามอบให้กินเพื่อยังชีพ

ออกจากสมาธิมันก็สดชื่น ไม่หิวแต่ก็ใช่ว่าจะอิ่มแบบอิ่มข้าว

จิตนี่ มันเลี้ยงตัวมันเองได้ด้วยการปรุงแต่ง เรื่องพวกนี้นี่ มันเกิดกำลังปัญญาของพวกเรา

เหมือนไอ้น้องชาวเนปาล ที่เขานั่งสมาธิยาวนานหลายปี จิตก็ปรุงแต่งดำเนินไปตามแนวทางวิถีนี้

กายนี้อยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยอาหาร เรียกว่าอยู่ด้วยอาการแห่งธรรมปิติ

วิธีนี้ สัตว์หลายๆชนิดก็ทำได้ พวกกบ พวกหมีและสัตว์ที่เราเรียกว่าจำศีล มันก็ทำกันได้

เป็นแต่เพียงระหัสการอยู่มันไม่นานข้ามปี แต่หลายชนิดมันก็อยู่กันหลายเดือนตามระหัสธรรมชาติที่ตั้งโปรแกรมไว้

แต่วิธีนี้ มรรคผลและปัญญาไม่เกิด เมื่อกลับมาอยู่โหมดอาศัยอายตนะทั้งหก โปรแกรมเวทนาต่างๆ มันก็ทำงานตามปกติของมันเช่นเคย

สำหรับผู้มีปัญญา จึงรู้แจ้งชัดว่า ไม่ใช่วิธีการเกิดปัญญาอันรู้แจ้งโลก

วันหนึ่งเมื่อเอื้อมไปเด็ดใบไม้มากัดกิน กินไปทีละน้อย กัดไปทีละนิด ความซาบซ่านแห่งรส กลิ่น และผัสสะ มันก็ปรุงขึ้นมาในวิถีจิต

ความเคยชินที่ไม่หิว มันเริ่มทำงานของมัน ความอยากอาหาร ที่เหมือนจะดับไปแล้ว มันก็เริ่มทำการก่อตัว

เพราะความเป็นสมาธิ มีความเพียรอันพอดี สติจึงมีปัญญาเกิด ด้วยศรัทธาอันพอดีว่าอย่างงี้ๆๆๆๆ

ความเข้าใจในอาการต่างๆที่แสดงออกมาให้เจ้าของได้เห็นชัด เพราะเหตุจรดจ่อด้วยกำลังแห่งสมาธิ

ปัญญารู้เห็นในอาการปรุงแต่ทั้งหลาย มันก็เลยก่อเกิด นี่.ปัญญามันตกผลึกขึ้นมาอย่างนี้

มันรู้ตรงตามความเป็นจริงว่า กายอย่างหนึ่ง เวทนาอย่างหนึ่ง จิตอย่างหนึ่ง ธรรมอย่างหนึ่ง

ทั้งสี่ตัวนี้ มันอาศัยเหตุปัจจัยอันเกิดจากวิญญานที่สร้างรูปขึ้นมา วิญญานมันอาศัยรูป

เมื่อมีเราเข้าไปเป็นเจ้าของวิญญาน ความรู้สึกต่างๆอันมีเหตุมาจากผัสสะ มันก็ประมวลผล มันเอากายเป็นเหตุแห่งผัสสะ

ผัสสะปุ๊บ การปรุงแต่งก็ทำงาน การปรุงแต่งทำงาน เวทนาก็เกิด เวทนาเกิด ที่ตามๆกันมาก็เกิด

มันเห็นร่องรอยแห่งกฏอิธทัปปัจยตา มันเห็นชัดถึงวงรอบแห่งปฏิจจสมุปบาท

มันเห็นชัดถึงอริยสัจ มันเห็นชัดถึงไตรลักษณ์ และเห็นชัดถึงการก่อเกิดแห่งเจตสิก ที่เราเรียนๆรู้กัน ว่ามันมีเหตุมีผลส่งต่อมาด้วยเหตุอันได

ข้านำเอาหัวข้อบาลีมาใส่ก็เพื่อที่จะไม่ต้องอธิบายขยายแยกกันออกไป

มันเข้าใจอยู่ในใจดวงนี้ มันชัดอยู่ในจิตนี้ ว่าอาการทั้งหลายที่แสดงออกมาให้เจ้าของผัสสะและรับรู้นั้น มันเป็นของมันเช่นนี้เอง

ไม่มีปาฏิหาริย์ ไม่มีผู้บรรลุ ไม่มีเหี้ยอะไรทั้งนั้น

สิ่งที่มี มันมีด้วยเหตุปัจจัยอันเป็นธรรมดาของมันเช่นนั้นเอง เป็นแต่เราไม่เข้าใจมัน

นี่เป็นเสี้ยวหนึ่งของประสพการณ์ทางจิตที่ข้าได้เผชิญมา ประสพการณ์เช่นนี้ มันได้หล่อหลอมรวมกันหลายๆประสพการณ์

การแตกฉานทางปัญญาที่ขึ้นตรงต่อความเป็นจริง มันก็มีภาชนะที่ใหญ่ขึ้น

ภาชนะที่ใหญ่ขึ้น ย่อมรองรับธรรมทั้งหลายได้มากขึ้น รู้เห็นได้ชัดขึ้น อธิบายได้ด้วยเหตุและผลอันเป็นธรรมดาของมัน

นี่..เกิดจากการฝึกฝนด้วยใจที่ยอมเป็นยอมตายเอาจริงล้วนๆ ไม่ได้รู้ธรรมมาอย่างง่ายๆโดยการนั่งอ่านนั่งฟังเอา แล้วนึกทึกทักไปตามกิเลสตน

ธรรม มีอยู่ในหัวใจของทุกคน เป็นเพียงแต่ทุกคน ไม่มีปัญญาเอาออกมาจากหัวใจที่มันมีธรรม ก็เท่านั้น..

พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง วันที่ 23 พฤศจิกายน 2559