ศีล…แห่งพุทธะ ท่อนที่ 2

ศีล…แห่งพุทธะ ท่อนที่ 2

702
0
แบ่งปัน

…. คนโง่คนเขลา เขาเข้าใจว่า การจะเป็นคนมีศีลต้องมานั่งท่องบาลีต่อศีล จึงจะเป็นคนบริสุทธิ์
เป็นคนมีศีล ศีลหลอกๆอย่างนี้ กุลบุตรแห่งพระชิโนรสเจ้า ท่านไม่ได้สอน ท่านสอนให้เห็นจริงและมีปัญ
ญา
พวกเราหลอกตัวเองว่าเป็นคนม
ีศีล โดยการท่องข้อศีล. 

ศาสนานี้ถ้าคิดกันได้แค่นี้ ก็เป็นศาสนาที่โง่งมงาย ไม่น่าจะมีการเกิดกำเนิดพระอรหันต์เจ้าได้ เราคิดและเข้าใจกันไปเอง

กาลเวลามันผ่านมายาวนานเหลือเกิน พวกนอกศาสนา ก็เข้ามาอาศัยกินอยู่ในศาสนานี้เยอะ
อยู่นานลูกศิษย์ลูกหาเยอะ ก็ถ่ายทอดกันออกมาด้วยความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง
เพราะโลกและตำราเขาว่ากันเช่นนี้ กูก็ว่าเช่นนี้เหมือนๆกัน ออกจากความเขลาไม่ได้.

ศีล 5 ข้อนี้ เรายกตัวอย่างบางข้อของพราหมณ์มา ไม่ใช่ศีลของพุทธศาสนาโดยการ คิดขึ้นมาใหม่.
แต่เป็นศีลกลางๆของมวลมนุษย์ชาติ ศาสนาไหนเขาก็มี และมีมานานก่อนพุทธศาสนาเราจะกำเนิดอีก

บางลัทธิ เขามีข้อวัตรปฏิบัติเลยว่า ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามขโมย ห้ามพูดอันเป็นเท็จ ห้ามเป็นชู้ ห้ามฯลฯ มีแต่ข้อห้าม

นี่คือศีลอย่างโลกๆเขา ศีลเหล่านี้มีกันทุกๆศาสนา เพราะเป็นข้อการวางกาย วาจา ใจ อันเป็นพื้นฐานของจริยธรรม
แห่งมวลมนุษย์ชาติ ทุกๆศาสนา ต่างปฏิบัติมาในแนวข้อห้ามอย่างนี้

แต่ทางพุทธศาสนาไม่ได้ห้าม. ศีลทางพุทธศาสนาไม่ได้ห้ามใคร
ศีลทางพุทธศาสนา ไม่ได้ว่ากันเป็นข้อๆ อย่างที่เราเข้าใจกัน

พวกเราพากันเข้าใจอย่างโลกเขาว่า และตัวเองว่า ใจเลยเข้าถึงธรรมไม่ได้
มันเป็นศีลที่มีอุปาทานมาทางโลกิยะ เป็นแค่ศีลสมมุติ เป็นศีลที่หลงและไม่รู้จักว่าอะไรคือศีล

เอาข้อศีลที่ตัวเองรู้และคิดว่าตัวเองเป็น ยึดเอามาเป็นอาวุธคอยดักทิ่มแทงทำร้ายผู้อื่น
ที่ตัวเองคิดว่า เขากระทำการผิดศีล ดูว่าคนอื่นๆเขาผิดศีล เป็นคนเลวในสายตา และความรู้เรื่องศีลของตัวเองไปซะนี่.

ศีลในทางพุทธศาสนา ไม่ได้มีไว้คอยทิ่มแทงใคร ท่านชี้ไว้เพื่อคอยทิ่มแทงใจตัวเอง.
ในสมัยโบราณ พระพุทธองค์ท่านชี้ทางให้เห็นหน่อยเดียว ผู้คนก็ต่างกลับกลายเป็นคนใจที่มีศีลแล้ว.

ศีลทางพุทธศาสนาท่านชี้ให้เห็นใจที่เห็นฟากเดียว กลับย้อนมาให้เห็นทั้งสองฟา
สมัยก่อนคนเขาต่างก็มีศีล มีศีลข้อห้ามกันเป็นข้อๆ แต่เมื่อมาพบเจอพระพุทธองค์
จึงได้รู้ประจักษ์ใจโดยแท้ว่า ศีลที่ตัวเองจำ ตัวเองท่อง ตัวเองเป็น ตัวเขาจริงๆแล้ว ยังไม่มีศีลเลย.

มันก็เหมือนกับเดี๋ยวนี้นั่นแหละ ท่องจำข้อศีลกันจัง แต่ใจยังไม่มีศีลเลย
ยังเป็นศีลที่โต่งและเข้าใจกันเอาเอง ที่สำคัญ…เป็นศีลที่ยังหนีไม่พ้น..นรก.!!
เป็นศีลของพวกนอกศาสนา โบราณท่านเรียกเป็นศีลของพวกเดียรถีย์.

พวกเดียรถีย์ คือคนพวกนอกศาสนา แม้จะบวชอยู่ในพุทธศาสนา ก็ถือว่าเป็นพวกนอกศาสนาอยู่ดี.

เพราะคนพวกนี้ยังไม่มีศีลอันเป็น วิมุติศีล ยังไม่มีใจที่ก้าวเข้าไปรู้เห็นเป็น โลกุตระศีล
เป็นใจที่มีศีลเอาตัวไม่รอดจากนรกอยู่ ใจยังมีคติที่จะดำเนินไปยังไม่แน่นอน เป็นศีลตัวตนอันเป็นอุปาทาน
บาลีกล่าวว่ายังเป็น สีลัพพตปรามาส คือยังแค่ลูบคลำศีล ง่ายๆก็คือ ยังเป็นศีลแห่งความงมงายอยู่.

ไม่ใช่ใจที่มั่นคงเป็นปกติเพราะรู้เห็นชัด ไม่ใช่ศีลที่อริยเจ้าทรงสรรเสริญ เป็นศีลแห่งความงมงาย
และเอาตัวเข้าไปคิดเข้าไปเป็น ตามโลกเขาว่า และตัวเองว่า…

ศีลในทางพุทธศาสนา ไม่มีข้อห้าม พระพุทธองค์ท่าน นำข้อวัตรปฏิบัติที่มีอยู่เดิมๆ มาย่นย่อ
และยกตัวอย่างมาใช้กับคนทั่วๆไป เพื่อความเหมาะสมไม่กี่อย่าง ในการดำเนินชีวิต.

พระพุทธองค์ ไม่ได้ทรงห้ามอะไรเลย อย่างพวกนอกศาสนาเขาพากันห้ามกัน
คำว่าผู้มีศีลในทางพุทธศาสนา ท่านชี้ให้เห็นความเป็นจริง ที่เราทุกคนสามารถเห็นได้ รู้ได้ ทำได้ เป็นได้และไม่ยากเย็นอะไรเลย..

ที่เมืองๆหนึ่งพระพุทธองค์ท่านได้ทรงไปโปรด เมื่อกล่าวเรื่องการทำทานเสร็จ พระพุทธ์องค์ก็ทรงตรัสว่า...

ถ้าเขามาทำร้ายเรา… มาขโมยของๆเรา….. มาโกหกเรา…… มาเป็นชู้กับคนของเรา…. เราชอบหรือไม่ชอบ..?ชาวบ้านต่างเห็นชัดตรงตามความเป็นจริง จึงพากันตอบว่า…. ไม่ชอบพระเจ้าข้า..!!!

แล้วถ้าเราไปทำร้ายเขา… ไปขโมยของๆเขา… (ต่อท่อนที่ 3)