ศีล…แห่งพุทธะ

ศีล…แห่งพุทธะ

1144
0
แบ่งปัน

ธรรมบทนี้ เป็นเรื่องถามตอบในระหว่างกลุ่มศิษย์ ถึงเรื่องศีล พระอาจารย์ได้เล่า และอธิบายให้ฟัง เป็นศีลที่เป็นวิถีพุทธแห่งมุตโตทัยธรรม…

เข้าใจอะไรแล้วหรือที่ถามมานี้ ศีล สมาธิ ปัญญา สามขั้นนี้มันอยู่ในที่เดียวกัน คือใจเจ้าของ. มันแยกไปทางศีลที่เป็นโลกียะก็มี แยกไปทางศีลที่เป็นโลกุตระก็มี

  • โลกียะขั้นศีล ขั้นสมาธิ ขั้นปัญญาก็มี แต่อยู่ในฟากของการยึดสมมุติศีล ยึดสมาธิ ยึดปัญญา.
  • โลกุตระขั้นศีล ขั้นสมาธิ ขั้นปัญญาก็มี เป็นฟากที่รู้จักสมมุติศีล สมมุติสมาธิ สมมุติปัญญา.

โลกียะรู้…แต่ดูไม่เห็น เห็น…แต่ดูไม่เป็น เป็น….แต่ดูไม่รู้.

โลกุตระรู้….แล้วเห็นชัด เห็นชัด…ว่าอะไรเป็นอะไร รู้ชัดกับใจว่า…มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง.

ทีนี้คำว่าศีลแต่ละฝ่าย มันก็แยกย่อยลงไปอีก ถ้าคุยในฟากพวกเรา ก็คือศีลโลกียะศีล.
ศีลฟากนี้เป็นศีลที่เป็นการปรารภโลก และปรารภตนเอง. คือโลกหรือใครๆ เขาก็ว่ามาอย่างนี้ และตัวเจ้าของเอง ก็คิดว่า เป็นอย่างโลกว่าเหมือนกัน.

เป็นการทำขึ้นมาอย่างโลกเขาว่า คือฟังตามๆกันมา และคิดว่านี่คือศีล. เป็นคนดีต้องมีศีล ก็เลยพากันท่องจำในข้อศีล และต้องท่องเป็นภาษาบาลี ฟังแล้วมันขลังดี ใครท่องไม่ได้ จำไม่ได้ เป็นผู้ที่ไม่มีศีล.

เคยได้ยินพระท่านหนึ่ง กล่าวว่าโยม ท่านว่า ศีลซักข้อมันยังท่องไม่ถูก แล้วมันจะมีศีลได้ยังไง.
ข้าก็เลยถามท่านไปว่า ท่านท่องปาฏิโมกข์ศีลได้ไม๊.
พระท่านนั้นตอบว่า ไม่ได้ขอรับ.

แม่งงง….อย่างงี้มึงจะเป็นพระที่มีศีลได้ยังไง 227 ข้อมึงท่องไม่ได้ซักข้อ กูเองก็ไม่เคยหัดท่อง มานับถือกูทำไม กูก็เป็นพระที่จำข้อศีลไม่ได้ซักข้อเหมือนกัน.

ปรากฏว่า ท่านหน้าเสีย จึงเทศน์ให้ท่านฟัง..

ศีล…ไม่ใช่อยู่ที่ท่องได้หรือไม่ได้ จำได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่ท่องปาวๆๆ แต่ใจเป็นเหี้ย…มันก็คือเหี้ยท่องจำนั่นแหละ.

มีเหล่าโยมๆนิมนต์ไปเทศน์ พอจะถวายของข้าเอื้อมมือไปรับ
เขาบอกว่า หลวงพ่อไม่อาราธนาศีลให้พวกหนูก่อนหรือคะ.

ข้านี้ต้องชักมือกลับมาเกาแก้มยิ๊กๆ พยักหน้าบอกเออๆ…
ภาษาบาลีข้าก็พูดไม่เป็น จำที่เขาบอกให้ท่องๆมา
นึกในใจ ไอ้ห่า…คนไทยนี้มันเรื่องมากชิบหาย.

ข้าท่องบาลีไปหน่อยแล้วหยุด พวกเขามองหน้าข้า แล้วร้องบอกบาลีต่อว่า
เวรมณี สิกขาประทังสมาธิญามิ.
ข้าก็ท่องตามเขา.

พอขึ้นข้อต่อไปข้าเงียบอีก... พวกเขามองหน้ากันไปมองหน้ากันมา
แล้วร้องบอกบาลีขึ้นมา ข้าก็ท่องตาม
ข้อต่อไปข้าก็เงียบอีก.. พวกเขาก็ประสานเสียงบอกข้าอีก ข้าก็ท่องตาม ท่องตามเสร็จพวกเขาก็ท่องตามข้าอีก.

เป็นอย่างนี้จนจบข้อศีล สร้อยคำบาลีตอนท้าย พวกเขาก็ต่อให้ข้าเสร็จ เป็นอันว่าทุกคนในที่นั้น เป็นคนบริสุทธิ์ และเป็นคนมีศีลแล้ว.

มีคนถามว่า หลวงพ่อท่องข้อศีลไม่ได้เหรอ ข้าบอกว่า พอท่องได้.
อ้าว…..แล้วทำไมทำท่านึกไม่ออกละขอรับ…. ข้าก็ดูว่าพวกแกท่องกันได้รึเปล่า… มันบอกว่า…พวกผมท่องได้ซิครับ.

ข้าหันมาทางไอ้หนูคนหนึ่ง เอ็งท่องได้ไม๊ไอ้หนู. เจ้าหนูพยักหน้า แล้วท่องออกมาจนจบ. ภาษาไทยแปลว่าอะไรรู้ไม๊ลูก..?? เจ้าหนูพยักหน้าแล้วบอกภาษาไทยเป็นข้อๆ ข้าจึงถามว่า
แล้วในที่นี้ มีใครไม่รู้ข้อศีลมั่ง… ทุกคนนิ่งเงียบ.
แสดงว่ารู้…!!!

เมื่อรู้กันดีอยู่แล้ว พวกแกมาให้ข้าสอน และท่องตามข้าอีกทำไม
พวกแกบ้ากันรึเปล่า
สมัยโบราณ ท่านชี้ศีลแค่ครั้งสองครั้ง เขาก็เข้าใจและนำไปปฏิบัติแล้ว ไม่ต้องมานั่งต่อศีลเป็นข้อๆทุกครั้งที่จะถวายของพระ
นี่พวกแกเป็นคนไม่บริสุทธิกันรึไง.

ทุกคนงงๆๆ ข้าถามว่า ไงอีหนู….ศีลแกขาดเหรอ.
เปล่าเจ้าคะ… ไม่ขาดแล้วจะมาต่ออีกทำไม.
อีสาวมองหน้าข้าทำหน้าแมวสงสัย..!!!

พวกแกมีน้ำอยู่เต็มแก้ว ดื่มน้ำในแก้วให้ชื่นใจเย็นช่ำกันซิ เอาแก้วที่เต็มน้ำ มาขอเติมน้ำจากข้าอีกทำไม มันไม่มีประโยชน์ เป็นเรื่องของคนโง่คนเขลา คนโง่คนเขลา เขาเข้าใจว่า การจะเป็นคนมีศีล ต้องมานั่งท่องบาลีต่อศีล จึงจะเป็นคนบริสุทธิ์ เป็นคนมีศีล

ศีลหลอกๆอย่างนี้ กุลบุตรแห่งพระชิโนรสเจ้า ท่านไม่ได้สอน ท่านสอนให้เห็นจริงและมีปัญญา พวกเราหลอกตัวเองว่าเป็นคนมีศีล โดยการท่องข้อศีล