***** “ลาพุทธภูมิ ท่อน 4” *****
เราคงพอเข้าใจความหมายในคำว่าลาพุทธภูมิกันแล้วนะ
คราวนี้ คงได้หายงมงายกับพวกที่ยกตน ทำตัวเป็นผู้มากล้นบารมี ไม่ยี่หระต่อความเป็นผู้มีปัญญา
ไม่ยี่หระต่อหนทางแห่งพระพุทธองค์ และความหมายว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ที่เจ้าของเสือกตู่เอาเอง
ที่จริงมันก็มีรายละเอียดที่จะกล่าวถึงเยอะแยะ แต่ขี้เกียจแล้ว เราวกกลับเข้าสู่ความหมายที่ว่า แล้วเราลาพุทธภูมิเพื่ออะไร..??
เอากันตรงนี้…!!
ข้านี่ได้เจอท่านผู้ทรงคุณท่านหนึ่ง เป็นพระอาศัยอยู่ป่า ได้ญานแห่งบุพเพนิวาสา ท่านบอกว่า ท่านกะข้านี่เป็นอดีตเพื่อนร่วมชาติกันมายาวนาน
เป็นเพียงแต่ข้านั้นดื้อรั้น มากเรื่อง ตัวตน มานะจัด และปราถนาพุทธภูมิไว้ การเห็นแจ้งและยืนยันแห่งจิต มันจึงโดนวิบากบดบัง
ท่านบอกว่า ข้านี่ ขอบำเพ็ญต่อไปแค่ สี่สิบกว่าล้านมหากัปป์ ก็จะบรรลุธรรมประจักษ์ใจตน
ส่วนท่านนั้น ต้องบำเพ็ญต่อไปอีก ร้อยหกสิบกว่าล้านมหากัปป์นู่น..จึงจะเข้าถึงความประจักษแจ้งแทงใจ
ท่านว่า ท่านน่ะมันมาทางร่องไวรัสแบบ วิริยะธิกะ
ส่วนข้านี่ มีเชื้อมาทางปัญญาธิกะ แล้วท่านก็อธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับอสงไขยให้ข้าฟัง
ข้าฟังแล้ว เห้ยยย…ชิบหายเลย เช่นนี้แล้วอยู่เพื่อจะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าทำซากอะไร
มันนานไม่มีที่สิ้นสุด อสงไขยหนึ่งนี่ มันยาวนาน 10 ล้านมหากัปป์
พูดง่ายๆว่า โลกมันเกิดดับๆๆๆๆ สิบล้านครั้ง นี่..เรียกว่า 1 อสงไขย
ถามท่านว่า รู้ได้ไง ท่านตอบว่า มันเป็นเรื่องของญานในภวังค์จิต ที่มันบันทึกของมันมาอย่างนั้น
อีกหน่อยข้าก็จะรู้และเข้าใจ ท่านว่าอย่างงั้น ตอนนี้ ญานข้ามันยังอ่อน กิเลสตัณหามันเยอะ เพลาๆลงหน่อยก็จะรู้
รู้นี้มันอยู่ในทุกคนอยู่แล้ว มันเป็นบันทึกที่ผ่านมาด้วยรูปที่เคยมีมาในอดีต
สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระโกนาคม อันเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง ในมหากัปป์นี้ ได้ทรงพยากรณ์ท่านเอาไว้ว่า
ในอนาคตมหากัปป์เบื้องหน้า ท่านจะได้เข้าถึงความเป็นพระสัมโพธิญาน นามว่าอะไร ข้าจำไม่ได้แล้ว
แล้วท่านก็ชี้มาที่ตัวข้าว่า อีกหมื่นปีต่อมา ข้าก็ได้รับคำพยากรณ์เช่นกัน
ท่านไม่ได้บอก ว่าพยากรณ์อะไร แต่สงสัยจะพยากรณ์ข้าไว้ว่าต่อไป จะได้เป็นจอมมาร บูรพา แห่งเกาะดอกจิก อูว่ะ..มันเท่ห์..!!
สำหรับท่านนั้น..ท่านบอกว่า เมื่อมาพิจารณาตามเหตุตามปัจจัยแล้ว การเกิดดับนี่ มันเป็นวัฏฏะอันยาวนาน
มันมีแต่ความทุกข์ล้วนๆ มันเป็นกามที่เราเสพเป็นเหยื่อเต็มไปด้วยเงี่ยงเบ็ดที่เร่าร้อน
การปรารถนาเพื่อบรรลุธรรม กับการปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านั้น มันคนละเรื่องกัน
ท่านบอกว่า ท่านปรารถนาบรรลุธรรม เอาธรรมที่เข้าถึงมาเป็นโอสก รักษากามตัณหา ที่มันคอยแต่ทะยานอยาก
อยากได้นู่น อยากได้นี่ อยากเป็นนู่น อยากเป็นนี่ ไม่อยากนู่น ไม่อยากนี่ จะดีกว่า
การปราถนาความเป็นพระพุทธเจ้านี่ มันเป็น กามตัณหา เป็นภวะตัณหา และวิภวะตัณหา
เป็นกามที่ต้องล่องลอยอยู่กับกาลเวลา ที่เป็นมานะและทิฏฐิ เพื่อเข้าใจมันเอามาเป็นคำสอน เพื่อขนหมู่สัตว์ไปพ้นโลก
ท่านว่า ท่านบำเพ็ญเช่นนี้มากว่า เจ็ดร้อยกว่าล้านมหากัปป์แล้ว
ท่านได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธะโกนาคม ว่าได้บรรลุพระสัมโพธิในอนาคต
ท่านมีวิบากที่จะต้องเรียนรู้และเผชิญอีกแค่ ร้อยหกสิบกว่าล้านมหากัปป์เท่านั้น
ท่านว่า ฟังดูแล้วมันเลื่อนลอยและไร้สาระ ท่านรู้แน่ชัดประจักษ์ใจเช่นนี้ ท่านจึงได้เข้าญาน เพื่อบอกกล่าว และลบล้าง
ความปรารถนาในอนาคตกาล อันเป็นพุทธภูมิ ที่ได้ปราวณา ประกาศไว้ตั้งแต่อดีตกาล
ท่านว่า…ท่านระลึกได้ว่า ท่านกล่าวลาความเป็นพุทธภูมิเช่นนี้ มากกว่าสองร้อยชาติ
มาชาตินี้ ท่านรู้ด้วยญานแห่งตนแล้วว่า ความปราถนาของท่านเข้าถึงผลแล้ว
นี่..เป็นเพราะท่านไม่ค่อยฉลาดในความคมแห่งปัญญา ท่านว่างั้น บารมีที่สร้างสมมาด้วยความวิริยะ มันจึงใช้เวลานานหน่อย
การบำเพ็ญเพื่อบอกลาพุทธภูมิ อันเป็นความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านั้น ต้องบำเพ็ญนาน
วิบากกรรมจะบดบังการประจักษ์แจ้งแทงใจในธรรมทั้งหลาย แม้จะเข้าใจธรรมแค่ไหน มันก็เป็นได้ด้วยความรู้
มันโดนตัณหา มานะ และทิฏฐิบดบังใจในความรู้ทั้งหลาย ไม่ให้ประจักษ์แจ้ง
นี่เป็นวิบากตัวหนึ่งที่เหล่าผู้ปรารถนาพุทธภูมิอันมุ่งเป็นพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จะต้องเผชิญ
แต่ถ้าปรารถนาพุทธภูมิเพื่อบรรลุธรรม แจ้งในธรรม เป็นผู้มีภูมิปัญญาญาน
เมื่อประจักษ์ใจแล้ว ว่าการเกิดทุกข์เยี่ยงใด หากปรารถนาพุทธภูมิไว้ การกล่าวลา เพื่อเสวยผลที่บำเพ็ญมาให้เข้าถึงธรรมแห่งความประจักษ์แจ้ง
เช่นนี้ การเข้าถึงความประจักษ์แจ้งเท่าที่ภูมิวิสัยจะพึงมี ก็จะนำไปสู่การลาขาดสิ้นความปราถนาในภูมิที่ปราวณาไว้ได้เช่นกัน
แต่..มันมีวิบากแห่งสัจจะวาจา ที่เราปรารถนาตั้งไว้ และลาจากอยู่เช่นกัน
คราวหน้าข้าจะเล่าให้ฟังถ้าไม่ลืม รอก่อนนะไอ้น้องทั้งหลาย..!!
พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 8 กันยายน 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง