ฝึกให้เป็นนิสัย

ฝึกให้เป็นนิสัย

368
0
แบ่งปัน

****** “ฝึกให้เป็นนิสัย” ******

หวัดดี…

นั่งฟังเสียงพระสวด มีความสุข พระทำวัตรเช้าเย็นนี่ เป็นความสวยงามแห่งความเป็นภิกษุผู้เจริญ

ข้านี่แสนชื่นใจ ที่น้องๆ บวชเข้ามา มีความเพียรทำวัตรเช้าเย็น

นี่..เหนื่อยแสนเหนื่อยจากการทำงาน ท่านก็ลงมาสวดมนต์ทำวัตรกัน

มีการซักถามเกี่ยวกับเรื่องจิตและความประพฤติกัน มีแง่คิดในการที่จะถาม แม้คำตอบจะอาจทำให้จุกเล็กน้อย แต่ก็เป็นการสร้างนิสัยเพิ่มพูลในการทำใจดวงนี้ให้ฉลาดขึ้น

เมื่อวานได้นั่งคุยกับเจ้าทรายตอนตีสี่กว่าๆว่า

เห็นไหม…พระใหม่เขาลุกขึ้นสวดมนต์ทำวัตรเช้ากัน ช่างเป็นเสียงที่ฟังแล้วเกิดปิติจิต

ในท่ามกลางป่าใหญ่และภูเขาเช่นนี้ เสียงสวดมนต์ฟังแล้วเพลินใจทั้งผู้สวดและผู้ฟัง

พระเกือบทั้งหมดที่มาที่นี่ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะมานั่งสวดมนต์ทำวัตรเช้า แถมวัตรเย็น ก็ไม่ทำ

อาจจะด้วยข้ออ้างที่ว่า ไม่เห็นพระอาจารย์สวดเลยนี่ เมื่อพระอาจารย์ไม่มาทำวัตรเช้าเย็น เขาก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำ

นี่..พระดีอีกแบบ ที่ทำให้ตนเองเสื่อมไปจากความดี เขาไม่รู้ว่า ข้านี่เป็นจอมสวดมนต์ ข้าถามว่า ทรายเอ้ย..!!

สมัยก่อนแกจำได้ไหม ว่าตีสองนี่ เราลุกขึ้นมาสวดมนต์กันแล้ว

ข้านี่ยังจำได้เลยว่า ตีหนึ่งกว่าๆ เจ้าทรายกับพี่สมชาย เดินข้ามแพมาหาข้าที่นั่งสมาธิอยู่

ข้าถามว่า มาทำไม ยังไม่ตีสองเลย

เจ้าทรายบอกว่า มาสวดมนต์และนั่งสมาธิ กับพระอาจารย์

นี่..เราจะฝึกใจกันมาเป็นอย่างนี้

ข้าจึงถามเจ้าทรายไปว่า แต่ก่อนเราฝึกกันทุกวันเลยนะ ข้าจำได้ว่า นับจากวันปลงผมเพื่อทำการบวชฝึกสมาธิจิต ที่อยากรู้อยากเห็น

ตลอด 6 ปีแรก ข้าไม่เคยนอนเกินวันละ 2 ชั่วโมง ตีหนึ่งครึ่งนี่ ลุกขึ้นมาเตรียมตัว เพื่อกดนาฬิกาปลุก ที่ตั้งไว้ปลุกตอนตี 2

จากตีสองก็นั่งสวดมนต์เรื่อยไปจนถึงตี 4 นั่งสมาธิแล้วครองผ้า ออกเดินจงกรม เดินถึงเช้าพอเห็นแสงใบไม้เขียวจึงออกไปบิณฑบาตร

บิณฑบาตรกลับมาก็มาจ้องพระอาทิตย์ เกือบสี่โมงเช้าจึงเข้ามาฉัน ฉันเสร็จก็ขึ้นทางจงกรม บ่ายๆ ก็นั่งสมาธิ ออกจากสมาธิก็ศึกษาพระธรรมวินัย และข้อสงสัยจากพระไตรปิฏก

ห้าโมงเย็นก็ร่วมทำวัตรเย็นกับพระที่วัด สองทุ่มออกมาเดินจงกรม สี่ทุ่มนั่งสวดมนต์ไปยันเที่ยงคืน นั่งสมาธิพักเล็กน้อยก่อนล้มตัวพัก ตื่นตีหนึ่งครึ่ง

บางอาทิตย์ก็ไม่นอนเลย ถือเนสัชชิก นี่..ข้าเวียนทำเวียนเป็นเกี่ยวกับห่วงโช่เช่นนี้ ตลอด6 พรรษาแรก ยิ่งจากวัดออกมาอยู่ป่าคนเดียวในพรรษาสองของปีแรกที่บวช

ยิ่งแทบไม่ได้นอนได้พักการปฏิบัติเอาซะเลย ปัญญาและญานต่างๆ มันจึงเพิ่มพูล และหนาแน่นขึ้นเป็นลำดับ

ข้านี่ได้เจโตมาก่อนที่จะบวช ฉะนั้นการบวชมันจึงไขว่คว้าและหาข้อสงสัยให้มันแตกฉาน

จนเข้าถึงปัญญาในปี 55

จิตมันก็ไม่รับในเวทนาต่างๆ ทางอายตนะ ไอ้ตรงนี้นี่ มันลึกซึ้ง ต้องมาฟังคำอธิบาย

เมื่อฟังคำอธิบาย มันจึงจะเกิดความเข้าใจ

เมื่อไม่เข้าใจ…

มันก็จะคิดด้วยอัตตาตนเองว่า…

ก็ไม่เห็นว่าพระอาจารย์จะลงไปทำวัตรเช้าวัตรเย็น เขาก็เลยคิดว่า ไม่จำเป็น เพราะพระอาจารย์ ไม่เห็นความสำคัญ

จริงๆน่ะข้าเห็นความสำคัญ และเห็นความสำคัญแม้การเรียนบาลี

การศึกษาพระไตรปิฏก การเทียบเคียงอภิธรรมและวิสุทธิมรรค เพราะสิ่งเหล่านี้ จำเป็นสำหรับการเรียนรู้ ในการมาบวชเป็นพระ

จริงอยู่..ไม่ต้องศึกษาไม่ต้องเรียนบาลีก็ได้ แต่มึงไม่รู้ไม่บรรลุอะไรขึ้นมาได้หรอกจะบอกให้ และแม้จะเรียนจะศึกษาอย่างหนัก มันก็ใช่จะบรรลุตามความเป็นจริงจะรู้อะไรได้เช่นกัน

แต่การเรียน มันจะช่วยให้เราเข้าใจได้มากขึ้น ทั้งในแง่ของการปริยัติและพระธรรมวินัย อย่างน้อยก็ตอบปัญหาจอมนักธรรมด้วยกันได้

นี่..การเรียน การสวดมนต์ การปฏิบัติอะไรนี่ สำคัญ ถ้ามัวนอนตื่นสาย นอนดึก เล่นเฟส บวชมาไม่ได้อะไรหรอก

พระเล่นเฟสนี่ ไม่ชักว่าว เป็นไม่มี ธรรมชาติของจิตนี่ มันมีเหตุให้เป็นไปด้วยการย้อม

หากใจที่ยังไม่รู้เท่าทันจิต มีอัตตาตัวตนหลงในกระแสความคิดและเวทนาทั้งหลายทาง ตา หู ลิ้น

เช่นนี้…ใจย่อมไหลไปตามกระแสเพราะเหตุแห่งใจตนที่เฝ้าแต่คิดเอา

ผลก็คือ ความเป็นปุถุชนที่หนาแน่นด้วยกิเลสในคราบของนักบวช ที่อาศัยศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อพระพุทธชินสีห์

บุรุษเช่นนี้.. ก็จะกลายเป็นโจรในคราบนักบวช ข้า..ไม่อยากให้พระแห่งบุญญพลัง แปลงร่างเป็นโจรปล้นศรัทธาชาวบ้าน

ที่สำคัญ..

เราต้องหมั่นดูแลและรักษาใจตนเองด้วยตัวเอง ข้าน่ะ…ไม่ใช่ผู้ที่จะชี้จะบอกใคร ว่าเช่นนั้นเช่นนี้ถูกผิด

หากไม่ทำและไม่ถาม…เราต้องแข็งแรงและเดินทางด้วยตัวเอง

ขอสาธุคุณสำหรับคืนนี้..!!

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง