เดินจงกรมกัน

เดินจงกรมกัน

358
0
แบ่งปัน

***** “เดินจงกรมกัน” *****

เมื่อวานนี่ตอนเย็นๆ ข้าได้ขึ้นไปวางแผนการทำงานที่ตรงบนองค์พระ

การสร้างองค์พระ มันมีความสลับซับซ้อนในแง่ของการออกแบบให้มันแข็งแรง
และคงทนเพื่อกาลอันยาวนาน

ข้าเองนี่ขยายขนาดจรกหน้าตัก 19 มา 22 จาก22 มา24 จาก24 มา30
จาก 30 มา 35

นี่..มันขยายออกมาเรื่อยๆ แต่ฐานนั้น เท่าเดิม จึงมีการออกแบบในมโนจิตที่ค่อนข้างจะซับซ้อน

การออกแบบป้องกันแผ่นดินไหว การออกแบบคานรับน้ำหนัก การออกแบบแรงรับ แรงเฉือน แรงกด และการวางคานออกไปรับและยันผนังองค์พระ

สิ่งเหล่านี้ ข้าออกแบบไว้ในมโนจิต ด้วยความเป็นสมาธิ

การคืบคลานด้วยด้วยเหตุปัจจัยไปยังจุดที่คลี่คลายที่เราทึบตัน และหาทางออกไม่ได้

เกิดจากการที่เราไปเล็งผลปลาย เราขาดการสาวผลไปหาเหตุในการคลี่คลาย ให้ผลทั้งหลายที่เราตัองการ เผยโฉมออกมา ให้เราเข้าใจทุกกระบวนการณ์

การที่จะเข้าใจและตีโจทย์แตก เพื่อมาวางผังโครงสร้าง การคิดและร่างลงในแบบ มันหยาบไป

งานโครงสร้างขนาดใหญ่ มันต้องใช้ใจจรดจ่อสอดส่องลงไปในวีถีฌาน แล้วขยายผลและเหตุ ในการวางงาน ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ให้พร้อมทั้งเหตุปัจจัยที่จะดำเนินการไปถึง

วิธีวางงานเช่นนี้ นอกจากนั่งสมาธิแล้ว การเดินจงกรม เป็นวิธีที่ทำให้ข้าได้ออกแบบดีไซด์ในขณะเจริญจิตได้ดียิ่งๆขึ้น

สภาวะต่างๆ มันจะเกิดขึ้นในมโนจิตแห่งเรา ความเป็นไปได้ ปัญหาที่จะต้องเผชิญ รูปแบบทรวดทรงต่างๆ จะบังเกิดขึ้นในใจเรา

ข้ามักแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยการเดินจงกรมแล้วแก้ไขในเหตุในผล

ทีนี้..การเดินจงกรม เราจะเริ่มต้นเดินอย่างไร..

สมัยก่อน..ข้านี่จะมากพิธีหน่อย เพราะเรียนรู้มาอย่างนั้น แต่เมื่อเข้าใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องว่าคาถาหรือพิธีอะไรให้มากความก็ได้

หลักๆในการเดินก็คือ มีสติสมาธิอยู่กับตัว

เมื่อวานนี่ ไอ้แสงมันขึ้นมาถาม ว่าจะเดินจงกรมอย่างไรดั มันน่ะไม่ชอบนั่งสมาธิ

เห็นข้าเดิน มันอยากเดินมั่ง ขอให้ข้าสอนหน่อยมันอยากรู้

การเดินจงกรม เราเดินตรงไหนก็ได้ เดินจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง ให้มีระยะอย่างต่ำซัก 12 เมตร

แรกๆเราอาจไม่รู้วิธีวางจิต ให้ยืนหลับตาและสอดส่งความรู้สึกไปยังท่ายืนของตัวเรา

ยามหลับตา เราจะเห็นชัดถึงท่ายืน ลองแกว่งแขนและขยับไหล่ขยับหัวไปมา

แล้วเอาความรู้สึกจับกริยาท่าทางด้วยการหลับตาดู มันจะเห็นชัด

ให้เอาความรู้สึกนั้นที่เห็นกายชัด ตั้งเป็นวิตก

การตั้งเป็นวิตกก็คือ การระลึกถึงท่าทางและความรู้สึกที่เห็นชัดนั้นๆ เพ่งประคองไว้

การเพ่งประคองอาการที่เห็นชัดนี่ เรียกว่าวิจารณ์ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือสัมปชัญญะ

วิตกนี่คือสติ วิจารณ์นี่คือสัมปชัญญะ วิตกก็คือการระลึก วิจารณ์ก็คือการตามรู้ประคองตัวไว้

เราอาจหลับตาเดินซักสองสามก้าว เพื่อทำความรู้สึกชัดๆกับการเพ่งมองอริยาบททางกาย แล้วลืมตาขึ้นมองทาง

เมื่อลืมตาขึ้นมอง ก็ให้ทำความรู้สึกกับท่าทางของกายที่เรากำลังเดิน เพ่งลงไปในรูปกริยาเดินอย่างเดียว

หากเห็นไม่ชัด ก็ให้หลับตาเพ่งลงไปอีก การหลับตาจะทำให้เห็นชัดในการเพ่งรูป

เมื่อเห็นชัดก็ให้เดินหลับตาไปซักสามสี่ก้าว แล้วค่อยลืมตา

พยายามลืมตาแล้วทำอารมณ์เพ่งกายให้เห็นชัดเหมือนตอนหลับตา หากมันเคลื่อนความรู้สึกไป ก็ให้หลับตาเพ่งอีก

ทำให้เกิดความชำนาญ จนเดินจงกรมด้วยการลืมตาเดิน แต่เห็นความรู้สึกได้ทั่วทั้งกาย

ไม่ว่าแขน ขาที่ก้าว รูปร่างกริยาที่เดิน จนจิตจรดจ่อและจับแต่ความรู้สึกแห่งเรือนกาย ไม่ฟุ้งซ่านไปไหน

เดินจากจุดหนึ่ง ไปสู่ปลายทางอีกจุดหนึ่ง

แรกๆอาจเดินประคองช้าๆ เมื่อชำนาญแล้วก็เดินก้าวย่างไปตามปกติ

ผู้ที่ประคองใจเช่นนี้จนเกิดความชำนาญโดยไม่ไปข่มจิจ

จิตมันจะเกิดภาวะหดตัวให้มีแต่ความรู้สึกอยู่กับเรือนกายเท่านั้น

การจรดจ่อกับเรือนกายจนชำนาญ มันก็จะเห็นความคิด เห็นเวทนาต่างๆที่ผัสสะ

อะไรที่ผัสสะกับกาย ทางอายตนะล้วนทำให้เกิดเวทนาทั้งนั้น

เวทนาทางตา หู ลิ้น จมูก กาย อารมณ์ เจ้าของจะเห็นชัดว่า มันอาศัยกายเกิด

ผู้ที่เห็นเวทนาชัด ย่อมมีที่ยืนอย่างมั่นคงในกระแสเชี่ยวกรากแห่งเวทนาที่มันมาถาโถม

เมื่อเกิดปัญญา มันจะเห็นชัดว่า เวทนาทั้งหลายที่เกิดกับกาย มันเป็นอาการที่จิตมันปรุงแต่งขึ้นมา

เมื่อปัญญาเกิด จะรู้ชัดประจักษ์ใจตนว่า กายไม่มีเวทนาอะไรใดๆที่ให้ความรู้สึกกับเจ้าของอะไรเลย

เวทนาก็ไม่ใช่อาการแห่งกาย ที่สร้างเวทนาขึ้นมา

อาการทั้งหลายมันเกิดจากโปรแกรมจิตมันอาศัยเหตุปัจจัยเข้าไปปรุงแต่งทั้งสิ้น

เจ้าของที่เกิดปัญญา จะเห็นชัดว่า จิตทั้งหลายที่แสดงตัวอยู่ มันก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของ

มันเป็นแค่สิ่งหนึ่งที่เป็นธรรมชาติธรรมดาที่มันอาศัยเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดเป็นธรรมดาของมันเช่นนั้นเอง มันเกิดเพราะเหตุปัจจัย

นี่..การเดินจงกรมเพ่งดูกาย มันจะเดินไปในวิถีวิปัสสนาญานทาง กาย เวทนา จิต ธรรม

มันสามารถถอดถอนอุปาทานให้แก่เจ้าของเพื่อพ้นไปจากความหลงใหลในรูปเสียได้ด้วยความเห็นแจ้ง

ข้านี่มักหนักไปในการเดินจงกรมมากกว่าการนั่งสมาธิ

นั่งสมาธิ 5 ชั่วโมง แต่เดินจงกรมทั้งวันโน่น

การเดินจงกรมเวลาจิตมันหดตัว มันไม่ต้องเห็นอะไรกันเลยละ

มันสว่างขาวโพลนโล่งแจ้งไม่ต้องเห็นรูปอะไรกัน

จิตมันจรดจ่อเพ่งอยู่ในวิปัสสนาญานที่กำลังเดินไปตามร่องวิถี ที่พิจารณาอย่างจรดจ่อ

ตา หู ลิ้น จมูก กายนี่ มันดับหมดแหละ มันดับทั้งๆที่กำลังลืมตาเดินนั่นแหละ

นี่..การเดินจงกรมมันให้ความหนาแน่นแห่งสมาธิสูงกว่าการนั่งมาก

ข้านี่ มักวินิจฉัยธรรมยามเดินจงกรมซะมาก

แต่การนั่งอย่างสงบๆ มันก็ช่วยให้ข้าพิจารณาได้กว้างโขเหมือนกัน

ข้าก็ใช้แล้วแต่สถานการณ์ที่มันพอเหมาะพอดี

เรามาลองหัดเดินจงกรมกันดูเหอะ เดินในป่าช้า เดินบนภูเขาคนเดียวดึกๆเทียนซักเล่มปักหัวท้ายเส้นทางเดิน

ลืมตาเดินคนเดียวมันเสียวหลังดี เดินไปสุดปลายทาง เวลาจะหันกลับ หากเดินอยู่ในป่าคนเดียวดึกๆ

มันจะเสียววาบๆ เหมือนใครมายืนข้างหลัง ใจมันจะเต้นรัว หันกลับไปเมื่อใหร่

อาจได้เจอจอมมารบูลยืนยิ้มแฉ่งรออยู่ก็ได้ เราอาจได้วิ่งกันน้ำบาน เป็นการออกกำลังกายที่ดีอีกอย่างหนึ่ง

ลองดูซิ เช้านี้สวัสดี..!!

พระธรรมเทศนา โดยพระอาจารย์ ธรรมกะ บุญญพลัง วันที่ 24 สิงหาคม 2559