รู้จักทุกข์อย่างผู้มีปัญญา

รู้จักทุกข์อย่างผู้มีปัญญา

390
0
แบ่งปัน

***** “รู้จักทุกข์อย่างผู้มีปัญญา” *****

หวัดดียามเที่ยงๆ

เราหิวอาหารเพราะถึงเวลาเที่ยง

เราก็ไปกินอาหาร

เรากินแล้วก็อิ่ม

ชีวิตดำเนินมาเป็นเช่นนี้

เราอยู่กับความหิวและอิ่มในมื้อเที่ยง

แต่เราไม่เคยรู้เลยตลอดชีวิต

ว่าไอ้ที่เราหิวนั้น มันจากมาเป็นเราอิ่มตอนไหน

เรารู้อีกทีก็คือ…กูอิ่มแล้ว

แต่ไม่รู้ว่า หิวที่มาก่อนอิ่ม

มันจากเราไปในตอนไหน..!!

เรามองไม่เห็นทุกข์จากความหิวที่เราเผชิญ

นั่นเพราะเรามีอิ่มมารองรับความหิวที่เราผัสสะ

หากหิวโดยไม่มีอะไรมารองรับ

เราจะเห็นชัดถึงเวทนาต่างๆของเรือนกายนี้

ผู้มีปัญญา จะเห็นชัดถึงการมีกายนี้มันแสนทรมาน

การทุรนทุราย เพื่อให้ความหิวจางหายไป

มันต้องใช้วิธีกินๆๆๆ

และต้องกินๆๆในสิ่งที่ตนชอบ

แต่เมื่อไม่ได้กิน

หากผ่านเลยไปบ่าย ความหิวจะค่อยๆจางคลาย

ที่รู้สึกหิวนั้น มันเป็นเพียงแค่กิเลสแห่งสัญญาที่มันเคยชินล้วนๆ

เคยกินเย็นหรือค่ำ

ความหิวก็จะมาเยือนตอนนั้นอีก

นี่..เพราะมันมีสัญญาของมัน

หากค่ำไม่ได้กิน ความหิวมันก็จะจางคลาย

ที่ยังรู้สึกอยู่ มันก็ยังคงเป็นสัญญาอันเคยชินเท่านั้น

เช้ารุ่งขึ้น หากไม่เคยกินอาหารเช้า

มันก็จะไม่หิว

หากเคยกินสายๆ มันก็จะไปหิวตอนสายๆ

หากสายไม่ได้กิน ความหิวก็จะจางคลาย

พอเที่ยง มันจะหิวอีก

และมันจะวนเวียนเช่นนี้ตลอดสองสามวันแรก

หากเรางดอาหารเพื่อที่จะดูการทำงานของกายมัน

หากเรางดออกไปอีก ในรูปแบบเดิมๆ

เราจะเห็นชัดและยืนยันแก่ใจเราได้ว่า เราหิวน้อยลง

ความโหยจะเข้ามาหา

ความโหยนี่เป็นโปรแกรมสัญญาอย่างหนึ่ง ในการเรียกร้องให้เป็นไปตามแนวทางของโปรแกรม

เมื่อยังไม่ได้รับการตอบสนอง

ร่างกายมันจะมีโปรแกรม ดึงน้ำดึงอาหารที่สะสม

รวมไปถึงกากอาหารที่อยู่ในลำไส้ขึ้นมาใช้ประคองชีวิต

การขี้เยี่ยวจะน้อยลง และไม่มีเลย ในวันที่สอง สาม สี่

ไขมันจะเริ่มโดนดึงสลายยุบลงไปเรื่อยๆ เพื่อมาชดใช้แรงกาย

วันที่ สาม สี่ ห้า ไปแล้ว ความหิวจะไม่ค่อยมี

ที่มีก็จะเป็นแค่อาการโหยๆ

เมื่อกลับมากินอาหารซักครั้ง

หากเป็นอาหารหนัก ก็จะจุกและตายได้ด้วยแก๊สและลมที่มันย่อยระบายไม่ทัน

เรากินได้อาหารเบาๆ หน่อยเดียวมันก็จุกแล้ว

อีกวันก็แทบกินไม่ได้ มันไม่ค่อยหิว

หากงดต่อไปอีกสามสี่วัน

แล้วกลับมากินอีกครั้ง

เราก็จะรู้ได้เลยด้วยตัวเราเองว่า

สามสี่วันนั้นแหละ มันจะเริ่มหิวซักที

ข้าเคยกินอาหาร สามวันครั้ง ห้าวันครั้ง เจ็ดวันครั้ง เป็นปีๆ

มันก็เลย หิวแบบ สามวันหิวครั้ง ห้าวันหิวครั้ง เจ็ดวันหิวครั้ง

แล้วแต่ว่าจะงดอาหารอยู่ในช่วงไหนของกี่วัน

การเจริญภาวนาในวิธีนี้

มันยืนยันและเกิดปัญญารู้ได้ด้วยตนเองเลยว่า

กายมันไม่ได้ต้องการอาหารอะไรเลย

ตัวต้องการอาหาร เพื่อเลี้ยงกายให้คงอยู่ มันคือโปรแกรมจิต

ซึ่งมันอาศัยเวทนา ที่เราปรากฏเป็นเครื่องมือแสดงออก

เมื่อเราเข้าใจอาการที่กายและใจแสดงออกมาด้วยการปฏิบัติเช่นนี้

การเป็นอยู่ก็ง่ายขึ้น

พระที่นี่ ฉันกันเพียงมื้อเดียว เมื่อทำจนชิน

มันก็อิ่มพอดีๆทรงตัวทั้งวัน

และทุกคนยืนยันได้ ว่าเป็นเช่นนั้น

กายที่ได้รับการอบรม

มันย่อมมีปัญญาเกิดความทรงจำขึ้นมา

ว่ากายนี้ ไม่ได้ต้องการอะไรตามที่เราคิดและยัดเยียดลงไปด้วยความเป็นเราเลย

เราไปเป็นเจ้าของอาการแห่งจิตที่ปรุงขึ้นมาผัสสะผ่านกาย

เพราะความไม่รู้และไม่ได้เข้าไปยืนยันด้วยใจเรา

เราเกิดมาก็ไม่มีวันจะรู้ได้

ที่เรารู้ๆกันนั้น

มันเป็นแค่ความจำที่จำเขามาเล่ามาบอกมาพูด

เราก็จะหิวอยู่เช่นนั้น

และพ่ายแพ้ต่อกระแสใจที่มันเป็นโปรแกรมหิว

และความอยากที่จะตอบสนองความหิวโดยขาดการโยนิโส

สิ่งเหล่านี้เรียกว่ากิเลส

กิเลสคือสมุทัยที่ไหลไปตามกระแสใจ

เรา..ย่อมวนเวียนอยู่ในกระแสนี้โดยไม่รู้จบเพราะหาทางออกไม่เจอ

การฝึกปฏิบัติเช่นนี้ เราไม่ได้ฝึกปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ อย่างที่เราให้ความหมาย

พุทธศาสนาชี้ให้เห็นความจริงที่เราเกิดมาล้วนเป็นทุกข์

การฝึกปฏิบัติ เพื่อให้เกิดปัญญาเรียนรู้ ว่าเราจะอยู่ร่วมกับทุกข์ได้อย่างไร

โดยที่ใจไม่ใหลไปตามกระแสแห่งทุกข์ที่ผัสสะเป็นธรรมดา

รู้ธรรมด้วยการพ่นน้ำลายเพราะจำๆเขามา

การรู้จักทุกข์ และแจ้งในทุกข์เพื่อที่จะอยู่ในช่องว่างตามเหตุปัจจัยได้นั้น

มันต้องเผชิญทุกข์และเรียนรู้ความจริง ที่จะอยู่กับมันด้วยการรู้จักมันจริงๆ ด้วยปัญญา..

พระธรรมเทศนา โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง 20 เมษายน 2560