รอดพ้นจากบาปได้ด้วยปัญญา

รอดพ้นจากบาปได้ด้วยปัญญา

262
0
แบ่งปัน

***** “รอดพ้นจากบาปได้ด้วยปัญญา” *****

>> ลูกศิษย์ : ขอบพระคุณเจ้าเมตตาอธิบายความหมายของคำว่า

การละเพื่อทำตามศรัทธา ให้แจ้งอีกหน่อยเจ้าค่ะ โยมปัญญาน้อย สาธุเจ้าค่ะ

<< พระอาจารย์ : การละเพื่อทำตามศรัทธานั้น ที่บอกว่าเป็นตัวตน คงจะกึ๊ก ตรงคำตอบนี้

การน้อมใจไปตามศรัทธานั้น คือมันแจ้งต่อสัจธรรม ใจจึงน้อมไปตามเหตุและผลที่มันประจักษ์

ส่วนการละเพื่อทำตามศรัทธานั้น เป็นตัวตน เหตุเพราะมีตนเห็นด้วย คือมันเข้ากับทิฏฐิ

เรา ในทางธรรมนั้น หากมันแจ้งแก่ใจ เราจะละหรือไม่ละ ใจมันก็ละ

มันละเพราะเห็นแจ้ง ไม่ใช่ละ เพราะมีเรา ทำตามศรัทธา

ศรัทธานี้ มันเป็นความเชื่อ หากงมงาย มันก็ละเหมือนกัน

ปัญญา หากมีมากไป มันก็ระแวง ขี้สงสัย มันไม่จบ หากละ ก็ละด้วยความโง่เหมือนกัน

การละ ที่เกิดจากเราเป็นผู้ละ แม้ศรัทธาแค่ไหน มันก็คือ ละเพราะความถูกใจ

มันไม่ได้ละ เพราะความเข้าใจ อย่างประจักษ์แจ้ง

หากประจักษ์แจ้ง จะศรัทธาหรือไม่ศรัทธา จะมีปัญญาหรือไม่มีปัญญา

มันก็ละ ของมันเองอยู่แล้ว จะมีเราหรือไม่มีเรา มันก็ละ

ที่เราละเพราะศรัทธา มันเกิดจากถูกใจ เห็นด้วย รู้แล้ว เข้าใจแล้ว ตรงนี้ ตัวตนมันเห็น

มันเป็นความรู้ที่ตนได้ผัสสะ ไม่ใช่ความจริงที่ใจมันประจักษ์

หากเกิดจากใจที่มันประจักษ์ ใจมันละด้วยตัวมันเอง ของตัวมันเองอยู่แล้ว

จะมีเราหรือไม่มีเรา มันก็ละ และการละนี้ มันก็อาศัยการที่อยู่โดยไม่ละ เป็นเครื่องอยู่แห่งสังขาร

นี่..ว่าถึงการละ แห่งใจ

หากเราเห็นว่า อย่างนี้ละ อย่างนั้นละ ด้วยความเห็นแห่งศรัทธา

นี่…เป็นเพราะเราเห็น ยังเป็นตัวตนที่เห็นว่า นั่นดี นี่ไม่ดี มันมีทิฏฐิซ่อนอยู่ในสัจธรรมนั้นๆ

แต่ผู้ที่ประจักษ์แจ้ง แก่ใจ มันอาศัยความเข้าใจ และไม่เข้าใจ ในธรรมทั้งหลายว่า

สุดท้ายไม่ว่าจะละหรือไม่ละ มันก็เป็นของมัน เช่นนั้นเอง..!!

>> ลูกศิษย์ : อ่านแล้วสะท้อนใจในอดีต ที่เคยพรากชีวิตสัตว์อื่นมาตลอด

ต่อไปนี้พึงมีสติ จะไม่ยอมพรากชีวิตผู้อื่นอีกแล้วครับ

<< พระอาจารย์ : โอ๊ะ..ข้านี่ ล่ามาเยอะ ข้ายืนเกาเขาให้ไอ้เต้ มันมองเห็นอดีตที่ข้าพรากชีวิตสัตว์น่ะ มันเห็นชัดเลยว่า…

คนเรานี้ หากไม่ย้อนกลับมาพิจารณา ความเป็นจริงอย่างละเอียดนี่ มันจะเลวได้ใจจริงๆ

ทั้งๆ ที่คิดว่าเราเป็นคนดีนะนั่น ตอนคะนองน่ะ มันมองไม่เห็น มันรู้ว่า การกระทำเช่นนี้นี่ มันบาป

แต่ความบาปที่จะแทงย้อนมาปักจิตให้หวั่นไหวแห่งคำว่าบาปนี่ ไม่มี

เรียกว่า รู้ไปอย่างงั้นเอง นี่..เป็นกันทุกคน

ข้าย้อนเห็นกระรอก ที่ข้าใช้เชือกรัดคอมันคากรงดัก มันคงกระสับกระส่าย

เพราะมันดิ้นทุรนทุราย ก่อนจะแน่นนิ่งไป

ข้านี่ เอามาถลกหนัง ข้านี่ทำเองซะจนชำนาญ ได้มาบ่อย กระรอกน่ะ

หนังข้าก็เอามาตากแดด ขึงด้วยไม้ตีตะปู เรียงไว้เป็นชั้นๆ

เนื้อเอามาผัดเผ็ด ข้าผัดเอง ข้าทำอร่อย ฆ่าแล้วต้องกิน ไม่งั้นข้าจะบาป

นี่..สมัยเด็กๆรู้มาอย่างนั้น ฆ่าอะไรมาก็ต้องกิน กินแล้วจะไม่บาปด้วยการฆ่า

วันนี้มองเห็นเจ้ากระรอก มันประคองเม็ดข้าวโพด มันกินอย่างมีความสุข จนแก้มมันป่องออกมา

มันมองดูข้าอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก แต่มันไม่หนีไปไหน อยู่ใกล้ๆ กัน

ข้าเห็นมันมีความสุข มีชีวิตที่มันหวงแหน และเห็นความเป็นสัตว์ ที่ต้องดิ้นรน

เห็นความอยู่ยาก และอับปัญญาในความเป็นสัตว์

เมื่อเทียบกับมนุษย์ มันคิดเองอะไรที่ซับซ้อนไม่เป็น มันน่าสงสาร

ข้าเห็นความเป็นสัตว์ของมัน เมื่อย้อนไปมากๆ ชาติ

มันก็ยังเป็นสัตว์อยู่ในภพภูมิเช่นนี้ หาความเป็นมนุษย์แทบไม่เจอ มันเป็นสัตว์มานานมากๆ

ครั้งหนึ่ง ข้าเองก็ฆ่าพวกมัน เพื่อนำเนื้อมันมากิน ด้วยความคึกคะนอง

ไม่ได้เกิดจากความอดอยากอะไร ข้าช่างใจร้ายนัก

อยากยื่นแขนให้มันขบกัด กัดซะให้พอ แทนพวกๆ ของมันที่ข้าฆ่า

มันช่างน่าสงสารมากๆ เลย สำหรับพวกสัตว์

มันเป็นสัตว์กันมานานมากๆ นี่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ มันจะพ้นไปจากซะภูมินี้

พวกเราก็เหมือนกัน ระวังใจไว้เหอะ เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ แสนยากเข็น

เป็นแล้ว ประมาท คงคิดว่า อายุจะยืนยาว และไม่ต้องไปเกิดเป็นสัตว์

ถึงได้คาดหวังว่าชีวิตในภายชาติหน้า คงจะมีชีวิตที่สุขสม สบายอุรา

หากเกิดพลาดไปเป็นสัตว์ละก็ เป็นกันยาวๆ เลยทีเดียว ข้านี่ พรากชีวิตของพวกมันมา

ยังรู้สึกถึงความ โหดร้าย ที่ไม่เคยคิดว่า ใจมันจะโหดร้ายได้เช่นนี้

ที่มันถือดี ไปพรากชีวิตที่แสนรัก แสนหวงของเจ้าของ ที่มีเลือดเนื้อเช่นเรา

นี่ถ้าใครเขา มาจ้องเอาชีวิตเรา เราก็คงหนี และหวงแหนตัวเรา เหมือนสัตว์ที่เราฆ่าเขาเหล่านี้

ข้าเห็นความใจร้ายที่แสนอัปปรีย์ มันไม่คิดถึงหัวอกผู้อื่น ที่มีความหวงแหนชีวิต ไม่ต่างกับเรา

นี่แหละ การไม่มีใจที่มี หิริโอตัปปะ เรียกว่า เป็นผู้ไม่มีศีล

ไม่มีความละอายต่อบาป ในการเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น

การไม่มีศีล มันก็มีความเป็นอยู่ ที่มีชีวิตอย่างประมาณ มันประมาทต่อชีวิตตนเองและผู้อื่น

นี่..การขาดศีลรักษาใจ มันทำลายสรรพสิ่งด้วยความคะนองโดยไม่รู้ตัว

ขอให้พวกเรา พึงมีสติ ระวัง โอเคนะ ขี้เกียจจิ้มแล้ว

>> ลูกศิษย์ : กราบนมัสการถามพระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง ค่ะ

ป้าดาวทำยังงัยก็ตัดห่วงไม่ได้สักทีค่ะ มีวิธีไหนบ้างคะ ที่ทำให้เราเลิกห่วงกังวลเสียทีคะ

<< พระอาจารย์ : ง่ายๆ ป้าดาว อันนิสัยนี้ ต้องดัดอย่างนี้

ไปเอาธูปเทียนมาเลย แล้วเดินเข้าไปในโบสถ์

จุดธูปเทียนต่อหน้าพระพุทธ อันเป็นองค์ประธาน และสาบานตน ปราวณาเลยว่า

หากป้ายังเป็นห่วง ยังเป็นกังวล ยังเป็นโน่น เป็นนี่ อยู่เช่นนี้

ออกจากโบสถ์ ขอให้ฟ้าผ่าตาย ขอให้รถชนตาย ขอให้ครอบครัวชิบหายวายป่วง ขึ้นรถก็ขอให้รถคว่ำตาย

ลงเรือก็ให้เรือแตกเรือจมตาย ขอให้ไฟไหม้ตาย ขอให้สิ้นเนื้อประดาตัว

ตายแล้วขอให้ลงนรก อย่าได้พบพานความสุขใดๆ อย่าได้ให้เข้าถึงนิพพาน

ใครดีด้วยขอให้เป็นศัตรูกันให้หมด

นี่..แช่งตัวเองไว้อย่างนี้ รับรอง ป้าเลิกห่วงคนนั้นคนนี้แน่

เพราะความจริงแท้ๆ ป้านั้นห่วงความคิดของตนเอง แช่งแล้ว ยังห่วง ก็แสดงว่า

ใจดวงนี้ กู่ไม่กลับ และขาดความละเอียดอ่อน ในความเป็นมนุษย์สูง

ห่วงนี้ ทำให้เข้าถึงธรรมยาก เอาซิ…ทำจริง หากตนเองทำไม่ได้ คนอื่นก็ชิบหายด้วย

หากวางได้เพราะกลัวคำสาบาน ก็แสดงให้เห็นชัดว่า เห็นแก่ตัวตน

ไม่ได้เห็นแก่ผู้อื่นและห่วงผู้อื่นอย่างจริงๆ นี่..เรียกว่าหลงสมมุติ

คือยังหลงตัณหาที่ยังเกิดจากการห่วงและไม่ห่วง

สิ่งเหล่านี้ เป็นธรรมของชาวบ้านทั่วไปทั้งโลกอยู่แล้ว

ป้าดาวก็คือมนุษย์ธรรมดาที่เหมือนใครๆเขา ป้าดาวจึงไม่ควรวิตก

ถ้าป้าดาวไม่อยากห่วง ป้าก็ต้องฝึกอบรมใจตนให้เห็นความเป็นธรรมดาของใจคนเรา

ห่วงนี้เป็นธรรมดา แต่ถ้าห่วงจนเป็นทุกข์นี่ มันโง่หลายๆ

พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง 19 เมษายน 2560