ธรรมจากปัญญาญานกับธรรมจากตำราย่อมแตกต่างกัน

ธรรมจากปัญญาญานกับธรรมจากตำราย่อมแตกต่างกัน

303
0
แบ่งปัน

***** “ธรรมจากปัญญาญานกับธรรมจากตำราย่อมแตกต่างกัน” *****

ขอสาธุคุณสวัสดี…

ข้อธรรมทั้งหลายนั้น ข้าจะคุยกันอย่างสดๆ ไม่ต้องอ้างอิงด้วยการลอกตำรา

ผิดถูกยังไงก็อธิบายกันออกไป

ธรรมที่เกิดจากประสบการณ์ ย่อมจำแนกแจกจ่ายออกไปตรงต่อความเป็นจริงของประสบการณ์

ประสพการณ์นี่ของใครของมัน

แต่เนื้อหาสามารถเทียบเคียงผลได้กับทุกตำราและพระไตรปิฏก

ธรรมทั้งหลายนั้น ฟังแล้วต้องลูบคลำได้ด้วยปัญญา

เรื่องเล่านี่ เล่ายังไงก็ได้

แต่เรื่องจริง มันก็เป็นจริงวันยังค่ำ

เรื่องจิตนั้น มันปรากฏแสดงเด่นเห็นชัดอยู่ สำหรับผู้ภาวนา

ธรรมชาติแห่งจิตนี่ ผู้รู้จัก ก็รู้จักวิถีแห่งการดำเนิน

พวกเรานั้น ใช้วิธีตรึกไปตามความคิดเห็น

การตรึกไปตามความคิดเห็น เป็นเรื่องยืนยันความจริงอะไรไม่ได้

ธรรมทั้งหลาย ไม่ได้เกิดจากการตรึก นึกคิด

ไม่ได้เกิดจากฟัง จากตำรา จากเล่าสืบๆกันมา หรือจะเข้ากับทฤษฏีตน ที่เกิดจากตรรกะคาดเดาเอา

ธรรมทั้งหลายแจ้งได้ด้วยประสบการณ์ที่มันเข้าใจ

และสาธยายความเข้าใจนั้นออกมา

ผลที่แสดง จะเป็นตัววัดและชี้ภูมิธรรมแห่งใจเจ้าของ

พุทธะนี่..คือปัญญา

ความเป็นพุทธะไม่ใช่ศาสนา

พุทธะนี่เป็นเรื่องปัญญาแห่งมวลมนุษย์ชาติ

ศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อ

ผู้ที่ยังตกอยู่ในกระแสแห่งความเชื่อ

ความเป็นพุทธะในใจย่อมไม่เกิด..!!

ธรรมทั้งหลาย สำหรับผู้ทรงธรรม

มันไม่มีความทรงจำแห่งธรรมทั้งหลาย เพื่อแสดงธรรม

ท่านแสดงจากการสอดส่องลงไปในธรรม ขณะนั้น เดี๋ยวนั้น

ความทรงจำเป็นแค่กากธรรมพอแค่ได้ดมกลิ่น ว่าเหตุมันมาจากรูไหนเท่านั้น

ธรรมนั้นไม่มีบรรลุ

บรรลุเมื่อไหร่ ไม่ใช่ธรรม

ธรรมนั้นหยั่งได้ไม่รู้จบ

ที่เราคิดว่าบรรลุๆ นั้น

เป็นแค่เข้าไปถึงระดับหนึ่งแห่งภูมิปัญญาเท่านั้น

ที่ยังไม่รู้ มีอีกเยอะ

การเข้าถึงธรรมจึงมีหลายระดับ

เรียกชื่อจาก สุขวิปัสสโก ไปจนถึงปฏิสัมภิทาญาณ

แม้สัมภิทาญาณ ก็ยังแยกย่อยออกไปอีกเยอะแยะ

เอาเท่าที่เราเข้าใจก็พอ

และอยู่กับมัน..ด้วยความเข้าใจ ว่ามันเป็นของมัน เช่นนั้นเอง

น่าเสียดายๆๆ กับพระหลายท่านที่เป็นคนรู้จักกะข้า

ผลแห่งธรรมแสดงออกมาชัดเจนว่า ธรรมทั้งหลายที่แสดง และปฏิบัติมาเป็นผลแห่งธรรมจริงๆ

กลับไม่ตักตวงธรรมแห่งมุโตทัยที่ออกจากใจ มาเก็บไว้อบรมใจตน

อีกนาน..กว่าจะเจอธรรมที่ออกมาจากธรรมแห่งใจ

เจอแล้ว เราเก็บไม่ได้ นี่..น่าเสียดายๆ

หวัดดียามดึก..

ขอสาธุคุณให้มีแต่ความสุขความเจริญ

คนเรานั้น ไม่ต้องรอให้ตายหรอก

เอาปัจจุบันที่เราเป็นอยู่นี่แหละ มาเทียบเคียงอารมณ์ได้

เราย่อมทุรนทุราย เมื่อไม่ได้ดั่งอารมณ์ใจ

แค่พรากจาก จากสิ่งที่ตนไม่ได้ดังใจ

เรายังทุรนทุราย วีนแตกกับผู้อื่นและใจตนเอง

แต่ตอนจะตายนี่ อารมณ์พรากมันยิ่งใหญ่

มันทำใจยากสำหรับคนที่ไม่เคยอบรมจิต

เตรียมพร้อมยอมรับความตาย

บางราย ตายโดยอุบัติเหตุ ตายอย่างไม่รู้ตัว

ยังไม่ได้ตั้งสติ ยังไม่ทันได้ยั้งคิดอะไร

ชีวิตก็มาโดนพรากจากไปซะก่อน

เช่นนี้..

หากใจที่อบรมมาทางกุศล เขาก็ย่อม มีกุศลเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง

หากใจดำเนินมาทางอกุศล เขาก็ย่อม มีอกุศลเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง

นี่..เป็นธรรมดาและมองเห็นได้ง่ายๆในตรรกะแห่งความเป็นจริง

นักโทษประหาร ทำเรื่องเลวร้ายมามากมากมาย เข้าสู่หลักประหาร

เขาย่อมมีสติระลึกได้ก่อนโดนปลิดชีพ

ย่อมระลึกได้ ว่ากำลังจะโดนพรากชีวิต

เขาย่อมนึกถึงพระ ย่อมนึกถึงสิ่งที่เขาจะไขว่คว้าก่อนตาย

เมื่อชีพวายสลายไปเพราะเหตุแห่งการปลิดชีพ

เขาก็ย่อมไปในทางมืดที่เป็นอกุศล

เพราะเขาย้อมใจเขามาด้วยอกุศล

นี่..แม้ก่อนตายจะระลึกนึกถึงพระแค่ไหนก็ตาม

พระช่วยอะไรกับใจที่มันเป็นอกุศลเดิมๆไม่ได้เลย

เรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

เราไม่ควรอบรมใจเรา ให้เกิดอกุศล

เราควรดำเนินมาทางกุศล ด้วย กาย วาจา ใจ

พุทธศาสนาชี้ให้เห็นหลักปัญญาแห่งความเป็นจริง

เป็นแต่เราเจ้าของนี่แหละ

ชอบที่จะงมงายด้วยการตามใจด้วยอัตตาตนเอง

พระธรรมเทศนา โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง 8 เมษายน 2560