ภาวะแจ้งแห่งธรรม ก็เป็นอุปกิเลส

ภาวะแจ้งแห่งธรรม ก็เป็นอุปกิเลส

301
0
แบ่งปัน

**** “ภาวะแจ้งแห่งธรรม ก็เป็นอุปกิเลส” ****

<< พระอาจารย์ : ที่นี่เย็นสบายครับ แค่ 360 องศา มองไปได้ทั่ว

หวัดดีเช้าวันศุกร์ เช้านี้เราตื่นขึ้นมาฝึกสติรึยัง หรือลืมหมดแล้ว เวลาหดหายลงไปทุกวัน

>> ลูกศิษย์ : กราบนมัสการค่ะ ฝึกแล้วค่ะ

<< พระอาจารย์ : หากเราไม่พยายามทำให้กับตัวเอง ไม่มีใครมาช่วยเราได้

ข้าเองก็ช่วยไม่ได้ ทำไปเรื่อยๆ ผลมันสะสมของมันเองเรื่อยๆ

>> ลูกศิษย์ : เมื่อคืนฝันเบื่อหน่ายมากเกิดเป็นชายๆ หญิงๆ เกิดตายๆ เบื้อเบื่อ

<< พระอาจารย์ : ปัญญาเหมือนน้ำทีละหยด มันเพิ่มเรื่อยของมัน เพียงแต่เรามองไม่เห็น ทำไปเรื่อยๆ

ปู แกมันโทสะ ต้องข่มมากๆ หน่อย

>> ลูกศิษย์ : ครับ..พ่อ ช่วงนี้หนักครับ..เบื่อใจที่เบื่อ

<< พระอาจารย์ : แต่ละคนที่ทำสะสม พอถึงจุดหนึ่ง มันให้ผลไม่เหมือนกัน

ผลที่ได้รับก็ไม่เหมือนกัน

ครั้งหนึ่ง ข้างดอาหารหลายวัน นั่งเดินอยู่แต่ในป่าและถ้ำ

พองดไปหลายๆ วัน จิตมันก็ฟุ้งซ่าน ความคิดมันก็ปั่นป่วน ระงับไม่อยู่

ใจมันก็เริ่มคิดว่า นี่เรามาทำอะไร

เราโง่หรือเปล่า เราทิ้งลูกทิ้งเมียทิ้งหน้าที่การงาน มาทำอะไร

และที่เราทำอยู่นี้…มันจะได้อะไรจริงรึเปล่า เพราะดูแล้วมันมืดมนเหลือเกิน

ภาพเด็กๆ ภาพสมัยเรียน ภาพความสุขอย่างที่ใครๆ เขาเป็นกัน มันก็ผุดขึ้นมารุกราน

เวทนาที่ไม่ได้นอนและไม่ได้รับอาหารมันแรงกล้ามาก

มันทำสมาธิไม่ได้เลย มันฟุ้งซ่าน จึงใช้วิธีการส่วนใหญ่ก็คือการเดินจงกลม

แต่ยิ่งเดินมันก็ยิ่งฟุ้ง จนถึงที่สุด ก็มาถามตัวเองว่า เรามาทำอะไร เพื่ออะไร และเกิดมาทำไม

เรามาอยู่ในเพศนี้เพื่ออะไร ทำไมถึงไม่แน่ใจอะไรเลยหรือ

นี่เราเสียเวลาจากครอบครัวมาเป็นปีๆ แล้ว ที่ผ่านมาเราโง่หรือ

ในเมื่อบางอย่างมันก็ประจักษ์ใจและแสดงผลให้แก่ใจได้รับรู้อยู่

เพียงแค่ ไม่มีใครมารับรองให้เท่านั้น แล้วเราจะพึงหวังอะไรกับคำรับรอง

ความฟุ้งซ่านที่ไม่ค่อยแน่ใจมันก็เริ่มเข้าทาง พิจารณา

มันฟุ้งมาทางพิจารณา แทนที่มันจะฟุ้งไปเรื่อยโดยไม่มีสติเข้ามาตีกรอบ

ที่สุด มันก็ไปลงตรงที่ เรามาตาย เรามาทิ้งชีวิต เกิดมาแล้วก็ต้องตาย

ออกไปเป็นพ่อคน ผัวคน เป็นเจ้าของอะไรก็ต้องตาย

งั้นกูขอลาตายตรงนี้ ที่นี่ และเดี๋ยวนี้

ต่อไปนี้ กูจะนั่งจะเดินและให้มันตายอยู่ในถ้ำในป่าแห่งนี้

พอปักใจที่จะดำเนินต่อ และตายก็ตายไป ทุกอย่างก็สงบ

ลมหายใจร้อนๆ ที่เกิดจากความปั่นป่วนแห่งธาตุ ก็เบาและละเอียดลง

ยังความแปลกใจให้กับเจ้าของ

แต่นั่นแหละ ความฟุ้งที่มาอีกด้านหนึ่งมันก็มีสติรู้ทันอีก

ว่าความเบาสบาย และใจที่ละเอียดเช่นนี้ มันก็คือตัวเดียวกับไอ้ตัวฟุ้งแทบบ้าเมื่อตอนแรกๆ นั่นแหละ

มันตัวเดียวกัน สติมันเห็นชัด มันระลึกได้ และมันกำลังหลอกเราผู้เป็นเจ้าของ

เมื่อเห็นชัดเช่นนี้ ความยินดีในความสงบมันก็เลยไม่มี

มันก็ฟุ้งต่อของมันไปอีกทางอีก

จากฟากหนึ่ง มันก็ไปอีกฟากหนึ่ง ความไม่แน่ใจในจิตมันก็เริ่มก่ออีก

ทั้งๆ ที่ใจมันสงบและละเอียดลงแล้ว แค่สติรับรู้ว่า มันคือตัวเดียวกัน

ทั้งร้อนรนและสงบมันคือตัวเดียวกัน มันมีสติลึกๆ ไม่ยอมรับความสงบและละเอียดนั่น

คราวนี้มันเอาใหญ่เลย สารพัดที่จะฟุ้งขึ้นมา

ทุกเรื่องที่เราเคยมีสุขมีทุกข์ สารพัดเหตุผล ใจมันยกขึ้นมา

แต่เจ้าของ ไม่ได้ไหลตามอารมณ์ต่างๆ เหล่านั้นเลย

เหมือนเราเปิดทีวีหรือเครื่องเสียงทิ้งไว้

มันก็ทำหน้าที่ของมันไป เรามันก็แค่รับรู้รับฟังแต่ไม่ใส่ใจ

มันมีอีกตัวหนึ่งภายใน มันไม่ใส่ใจในอาการที่มีและที่เป็น

และไอ้ตัวเฝ้าดูนั้น มันมีสติระลึกรู้อยู่

และแล้วมันก็เริ่มซาลงๆๆ ที่สุด ใจมันก็สงบ

ผลแห่งความสงบนั้น มันไม่มีเจ้าของความพึงพอใจหรือไม่พอใจในความสงบ

เพราะปัญญามันเกิดแล้วว่า

ทุกอย่างทั้งสงบและไม่สงบ มันเป็นแค่อาการของจิต เราบ้าไปตามกระแสเอง

นี่…มันถึงเข้าไปสู่ความจริงที่ลึกและหดตัวของจิตอย่างแท้จริง

เมื่อจิตหดตัว ความเป็นอุเบกขาก็จะเกิด มีสติลอยเด่นขึ้นมาให้เจ้าของมหัศจรรย์ใจ

ความคิดความอ่านอะไรใดๆ ก็คมชัด มีสติและสัมปชัญญะตามรู้อย่างว่องไว

เห็นชัดถึง กายส่วนหนึ่ง เวทนาส่วนหนึ่ง จิตส่วนหนึ่ง ผู้เฝ้าดูส่วนหนึ่ง ผู้รู้ส่วนหนึ่ง

กายเป็นสังขารรูป อันเกิดจากวิบาก มีอำนาจส่งผลมาจากกุศลและอกุศล

นี่..เมื่อสอดส่งสาวผลลงไป มันก็ระลึกรู้ได้

เวทนาเป็นสังขารนามขันธ์ ที่อาศัยเจตสิกปรุงขึ้นมา เรียกว่า เวทนา มันไม่ใช่กายเป็นเวทนา

จิตเป็นสังขารปรุงแต่งจากผัสสะ อาศัยนามขันธ์ เจตสิก เวทนา เป็นเครื่องแสดงออก

ผู้ดูเป็นสติตัวหนึ่งที่ปรุงแต่งมาจากสังขารจิต เป็นอายตนะแห่งวิญญาน

ผู้รู้เป็นสัมปชัญญะ ปรุงแต่งมาจากสังขารจิต เรียกว่าจิตวิญญาน

เมื่อถึงจุดหนึ่ง มันจะเข้าใจในเหตุและผล ด้วยสมมุติคำแห่งความหมาย

การเดิน ยืน นอน นั่ง มันก็เต็มไปด้วยสติและสัมปชัญญะ

จะระลึกรู้อะไร มันก็คล่องแคล่วว่องไว สอดส่งอะไรลงไป ก็ระลึกรู้ได้ทันที

และอาการเหล่านี้ที่เกิดขึ้นมา ถึงจุดหนึ่งก็รู้ว่า มันเป็นอุปกิเลส ที่จะขวางหนทางเดินแห่งมรรคผลเช่นกัน

เป็นแต่ว่า พวกเรามันยากที่จะเข้าใจ ว่าทำไม อาการทั้งหลายที่เกิดขึ้นมา ทำไมมันจึงเป็นอุปกิเลส

อุปกิเลสก็คือ ตัวขวางมรรคผล

ที่มันเป็นอุปกิเลสแห่งใจเจ้าของ ก็คือ การหลงเข้าไปยึดอาการด้วยอุปาทาน

มันมีธรรมที่ละเอียดและสูงกว่านี้ สำหรับนักรบผู้มีปัญญา

อาการทั้งหลายที่บังเกิดขึ้นมาในระหว่างปฏิบัติ มันเป็นแค่กลิ่นหอมๆของอาหาร

มันไม่ทำให้เราอิ่มและมีเรี่ยวแรงพอที่จะเดินไปสู่แสงแห่งปลายอุโมงค์ได้

นี่..การฝึกปฏิบัติมันก็สะสมหยดแห่งปัญญาของมันไป จากบ่อน้อยๆ ไปเป็นเขื่อนใหญ่

ที่สำคัญ แม้เป็นเขื่อนใหญ่ เขื่อนของใครมันก็มีขนาดและความใหญ่ ความใสไม่เหมือนกันอีก

ขอสาธุคุณโมทนากับความรู้เล็กน้อย

พระธรรมเทศนา โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง 20 มีนาคม 2560