พระครูโลกเทพอุดร

พระครูโลกเทพอุดร

1131
0
แบ่งปัน

***** “พระครูโลกเทพอุดร” *****

ข้าเองเมื่ออยู่ที่เกาะกลางน้ำ มักได้รับการมาเยี่ยมเยือนจากนักบวชก็ดี นักปฏิบัติต่างๆ ก็ดี เป็นจำนวนมากราย..

บางท่านก็มักจะบอกว่า ครูบาอาจารย์ของท่าน หรือที่ท่านนับถือนั้น เป็นพระอรหันต์แล้ว..

บางท่านก็มีชีวิต ยาวนานเป็นร้อยๆ ปี นี่เขาว่ามานะ

ยิ่งถ้าท่านที่มาทางฤทธิ์ ยิ่งมีอภินิหารหนัก อย่างเช่น…..เอ ไม่เอ่ยนามดีกว่า..

ท่านที่เห็นธรรมจนประจักษ์แจ้งแทงตลอดนั้น ความจริงจะไม่มีใคร อยากมีชีวิตอยู่เพื่อใครอีก แม้แต่ตัวเอง

นั่นเพราะว่า เห็นความเป็นจริง ว่าสรรพสิ่งล้วนสมมุติ

ตัวเราก็สมมุติ ไม่มีจริง ที่มันมีจริง มันมีด้วยอำนาจแห่งวิชา

และอวิชานี้ คือสมมุติ

ที่ว่าๆกัน ว่าหลวงพ่อนั้น หลวงพ่อนี้ หลวงปู่นั้น หลวงปู่นี้

มีชีวิต ตั้ง ห้าหกร้อยปี หรือ สามสี่ร้อยปีนั้น ล้วนฟังเขาว่ามา

มันผิดวิสัยธรรมชาติปัจจุบัน ที่จะเป็นอย่างนั้น

นี่ท่านทั้งหลายที่มาเยี่ยมท่านเล่าให้ฟัง.. นั่นเราฟังเขาว่ามาหรอก เขาว่ากันมา

และเราคิดว่าเป็นเช่นนั้น พระอรหันต์เจ้าบางรูปเป็นเช่นนั้น

นี่…คณะที่มาเยี่ยมเยือน เขาพูด อย่างพระครูโลกเทพอุดร นี่… ท่านนำมากล่าวบ่อย งั้นมาว่ากันเลยนิดหน่อย

พระครูโลกเทพอุดร บางท่านก็บอกว่ามีหลายองค์

คือใครก็ได้ ที่เป็นพระอรหันต์แล้ว ยังไม่เข้านิพพาน แต่ปรารถนา อยู่ช่วยเพื่อนมนุษย์ลับๆ ทางธรรม

จนหมดพุทธันดร แห่งพระบวรพุทธชินสีห์เจ้า

บางท่านจึงบอกว่า พระอรหันต์เหล่านี้ มีหลายองค์ เรียกว่าพระครูเทพโลกอุดรกันทั้งนั้น

บางท่านก็บอกว่า มีแค่พระองค์เดียว ที่ท่านรออยู่ช่วยเหลือชี้แนะ ผู้ปฏิบัติธรรม ตามป่าตามเขา

นี่…เคยได้ยินมาเช่นนี้ สำหรับพระครูโลกเทพอุดร

เรื่องพระครูเทพโลกอุดร หากฟังๆกัน ท่านมีหลายคนเหลือเกิน

และปัจจุบันก็มีการอ้างตัวเป็นพระครูเทพโลกอุดรกันหลายท่าน

มันมีความจริงอยู่อย่างหนึ่งก็คือ พระสายวัดป่า ที่ท่านเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ กระดูกเป็นพระธาตุ

ไม่เห็นว่าจะมีท่านใดได้กล่าวถึงพระครูเทพโลกอุดร

ที่กล่าวๆ กัน ก็มักจะเป็นสายเกจิอาจารย์ หรือพวกสายโพธิสัตว์ กล่าวและพูดต่อๆ กันมา

และมักจะออกไปในแนวทางเรื่องฤทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ แบบงมงาย

สารพัดที่จะอ้าง เพื่อความขลังในการสร้างรูปเคารพขึ้นมา เพื่อบูชาและชักชวนผู้คนบูชา

จุดมุ่งหมายส่วนใหญ่ เพื่อเป็นไปในเรื่องลาภสักการะ ทั้งนั้น

หากจะกล่าวถึงพระครูโลกเทพอุดร ในทัศนะความเห็น และได้ฟังมาจากครูบาอาจารย์ อย่างเช่น หลวงพ่อฤษีลิงดำ

พระครูโลกเทพอุดร นี้ ท่านเป็นสายพุทธภูมิ ปราถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า

แต่เมื่อถอนพุทธภูมิ จึงจำเป็นต้องอยู่ช่วยผู้อื่นต่อ ในฐานะครู ผู้ที่จะชี้ทางให้สัตว์โลกได้พ้นทุกข์

เมื่อละสังขารจึงได้ปราวนาตัวเพื่ออยู่ช่วย โดยใช้อำนาจอิธิบาท 4 ในการเจริญจิตตั้งสัจจะอธิฐาน

พระครูโลกเทพอุดร กายสังขารไม่มี ที่มีเป็นอาทิสมารกาย คงรูปพลังงานไว้

มีอายุถึงตอนนี้ รวมกว่า 2,000 ปี

สมัยที่ท่านยังคงมีรูปกาย ท่านคือ ผู้มาประกาศธรรมแห่งพระพุทธชินสีห์เจ้า

ท่านได้รับมอบหมายมาจากชมพูทวีปในยุคของพระเจ้าอโศกมหาราช

นี่….ผีว่ามานะครับ ฟังเอาหนุกๆ

ท่านเดินทางมาด้านสุวรรณภูมิ คือทางไทยเรา ท่านเดินทางมา สองรูป

เป็นพี่น้องกันรึเปล่านี่ ไม่รู้ ที่จริงท่านมากันห้ารูป แต่แยกย้ายกันออกไป

ท่านเองมีนามว่า พระ อุตระ ส่วนอีกองค์มีนามว่า พระโสนะ

พระอุตระ..นี่แหละ คือพระครูเทพโลกอุดร และมีองค์เดียว

ท่านเองยังไม่ได้บรรลุพระอรหันต์เจ้า อย่างที่เราเข้าใจกัน ท่านยังเหลืออีก 1 ภพ คือภพจิต

หากว่าเราจะเทียบเคียงอย่างที่เราเข้าใจ สภาวะจิตท่านเจริญอยู่ใน อรหัตมรรค

ท่านดำเนินจิตมาทาง ฉฬภิญโญ หรืออภิญญา และเป็นอนาคาปฏิสัมฏิทาญาณ

เพราะความที่ท่านเหลืออีกหนึ่งภพ

ท่านได้ใช้อำนาจสมาธิจิต แห่งอิธิบาท 4 ปรารถนาเป็นอทิสมานกาย ผู้ไร้กายสังขาร

อยู่ดูแลช่วยเหลือ เพื่อนมนุษย์ที่เคยมีสัญญาต่อกัน นี่เป็นแนวทางพอคร่าวๆ เท่าที่ประมวลมา

การเหลือภพจิตอีกหนึ่งภพ เป็นผู้ที่ประคองจิตอยู่ในขั้น อนาคามี

เป็นผู้ที่ไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป

หากไปตามวิสัยภูมิ ท่านก็จะไปเป็นพรหมชั้นที่ 14 คือชั้นสุทธาวาสหรืออะไรนี่แหละ

แต่แรงอธิฐานจิต ท่านไม่ไปตามภูมิ ท่านเลือกที่จะอยู่ใกล้ภูมิมนุษย์ ที่พอจะช่วยเหลือชี้แนะได้ ด้วยอำนาจแห่งอิธิบาท

หากไปตามภูมิ ท่านก็ไปนิพพานอยู่ในชั้นพรหม โดยไม่หวลกลับมากำเนิดอีก

ที่แสดงมานี้ ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า หากจิตที่เข้าถึงธรรมที่แจ้งตลอด

จะไม่มีจิตดวงไหน ปรารถนาอยู่ในภพภูมิอีกต่อไป ไม่ว่าจะภูมิไหนๆ

แม้พระอรหันต์ท่านจะสามารถ จะอธิฐานจิตด้วยอำนาจแห่งอิธิบาท 4 อยู่ได้เป็นกัปป์ก็ตาม

ไม่มีใครจะอธิฐานอยู่ หากรู้แจ้งจริงๆ แล้ว ไม่มีใครอยากอยู่แม้ชั่วเสี้ยววินาที

ขอพักก่อน ค่อยมาโม้ต่อ ว่าเพราะอะไรทำไม ผู้รู้แจ้งจริงถึงไม่อยากอยู่ ต้องกินข้าวแล้ว

ต่อกันอีกหน่อย เดี๋ยวคนจะแห่กันมาอีก

ที่ท่านไม่ต้องการจะอยู่ต่อไปเลย แม้เสี้ยววินาทีนั้น เป็นเพราะท่าน รู้ประจักษ์แจ้งแล้ว

ว่ามันทั้งหลายนี้ เป็นสมมุติมันไม่มีอะไรจริงเลย ที่มี เป็นเพราะสมมุติมันมี

เพียงแต่เราไม่รู้แจ้งและไม่เห็นจริง เราก็เลยเอา ความคิดของเราเข้าไปตัดสิน และเป็นจริงในสมมุตินั้น

จะยกตัวอย่างอุปมาเหตุที่ไม่อยากอยู่ต่อให้ฟัง

เสมือน เราเชื่อใจใครซักคน รักและห่วงใยเขามาก ทุ่มเททั้งกายและใจให้กับเขา

แม้ชีวิตก็แลกได้ หากจำเป็นจริงๆ

แล้ววันหนึ่ง เราได้รู้ได้เห็นประจักษ์ใจจริงๆกับตัวเราเลยว่า..

เขาคนนั้น โกหกเรา หลอกลวงเรา ไม่ได้รักเราจริงๆ อย่างที่เราทุ่มเทและเข้าใจเขาเลย

เราจะทำอย่างไร

เราเป็นแค่ของใช้ ที่เขาเก็บรักษาไว้ แต่ไม่มีค่าอะไรกับเขาเลย

เขาแค่ต้องการความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่เรามี พอจะช่วยให้เขาพอมีความรู้สึกได้ก็แค่นั้น

หากเรารู้ประจักษ์ชัดเช่นนี้ เรายังอยากอยู่กับเขา ทุ่มเทให้เขา มอบชีวิตให้เขา

เหมือนอย่างที่เราเคยเป็นไหม..?

ฉันใดก็ฉันนั้น

เราอยากตัดใจถอยไปจากเขา คงไม่มีใครจะอยากทนอยู่อีกต่อไป

กับความเป็นจริงที่เราได้ประจักษ์ใจเช่นนี้

แต่ที่ต้องอยู่ ทั้งๆ ที่ประจักษ์ใจ

ก็อยู่ด้วยความอึดอัดและจำทน ด้วยเหตุและปัจจัย

ไม่ใช่อยู่ด้วยความยินดีในสิ่งที่ประจักษ์

พระอรหันต์เจ้า ท่านประจักษ์ใจเหมือนเรื่องที่ยกมา

มันจะมีหรือ ที่ท่านจะมายินดีอยู่ต่อ เพื่อผู้อื่น และตัวเอง

เพราะมันเป็นเรื่องสมมุติที่หลอกลวงจิตเราทั้งนั้น

ตรงนี้…ที่ท่านนั้น มีอายุแค่นั้นแค่นี้ อยู่เพื่อจะได้ช่วยคนนั้น ไม่เข้านิพพานเพราะอย่างนั้นอย่างนี้

นี่โม้ยัดเยียดกันเข้าไปเอง และจำที่เขาโม้สืบๆ ต่อๆ กันมาทั้งนั้น มันเป็นไปไม่ได้เลย

ที่คนรู้แจ้งแล้วว่าอะไรเป็นอะไร มันจะมาหวงมาห่วงสิ่งที่มันโดนหรอก มันขัดแย้งกัน

ที่ยังมีๆ กัน และยังเป็นนั่นเป็นนี่ มันยังไม่เข้าไปถึงที่สุดแห่งทุกข์

บางท่านก็ยังเหลือภพจิตอยู่ อย่างเช่น พระอุตตระ ตำราเขาก็ไม่ได้บอกว่า ท่านเป็นพระครูเทพโลกอุดร

ที่ท่านเป็นก็เพราะเกจิอาจารย์ยุคหลัง แต่งตั้งกันขึ้นมา

และมีไม่กี่ท่านที่ทราบโดยทางจิตว่า พระครูโลกเทพอุดร คือ พระมหา อุตระ

พระผู้พี่ของพระมหา โสนะ ที่มาเผยแผ่ธรรมทางสุวรรณภูมิเรา

ผู้ที่รู้และได้ถาม อาทิสมานกาย คือ ได้พูดคุยกันทางภวังค์จิต

มีหลวงพ่อ ฤษีลิงดำ และหลวงปู่โง่น สองท่านนี้ ส่วนข้าเอง จำๆ ที่เขาโม้มา เลยเอามาโม้ต่อ

เพื่อยกเหตุแห่งเรื่องราว เพื่อให้เราลืมตาแหกขี้ตาออกมาให้มันเห็น

อะไรที่มันน่าจะจริงหรือไม่จริงมั่ง ก็เท่านั้น

บางเรื่องมันก็จริงอย่างท่านว่า

แต่มันจริงไม่หมด ที่สำคัญ เรามันชอบปรุงแต่งขยายผูกเรื่องไปเรื่อย

ซึ่งมันเป็นธรรมชาติของคน ที่ชอบปรุงตามใจตนอยู่แล้ว

ก็แค่ขอให้เราฟังกันหนุกๆ ทุกเรื่อง อย่าไปคิดว่า ใช่หรือไม่ใช่ จริงหรือไม่จริง

ทุกเรื่องเป็นแค่ความรู้ ไม่มีมรรคผลให้พ้นทุกข์ตรงไหน

ยิ่งยึดเรื่องราว ใจก็ยิ่งติด มันก็จะถกเถียงความรู้กันไม่รู้จบ หากเรายึดหมายว่าเป็นจริง

และถ้ายิ่งเป็นเรื่อง ร่างทรงบอก ยิ่งโม้แหลกเลยท่านเอ๋ย

และเราพิสูจน์ไม่ได้เลย ว่าผู้ที่ผ่านมาทรง เป็นใคร

เราจะมาอ้างตามคำบอกร่างทรงนั้น ไม่ได้ เพราะไม่รู้ร่างนั้นเป็นใครกันแน่

ใครจะอ้างก็ได้ เพราะเป็นแค่วิญญาณ

ส่วนพวกผีรึพวกเทวดาที่มาบอก ว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

นี่ก็อย่าเพิ่งไปเชื่อซะทีเดียวทั้งหมด

บางทีพี่แกก็จำๆเขามาเหมือนกัน ช่วงมีชีวิตไม่ได้เห็นกะตา

เป็นแค่จำๆเขามาพูด พอมาบอกเราพี่แกก็เอาเรื่องที่จำมานั่นแหละบอก

ถ้าเรื่องที่จำมาผิด เราก็ฟังมาผิดๆไปด้วย

นี่..ข้ากล่าวถึงคนที่มีฌานทางด้านนี้ มันก็ยังไปเชื่อไม่ได้

ว่าผีทั้งหลายที่ได้บอกมานั้น มันคือเรื่องจริง

ส่วนรูปพระครูโลกเทพอุดรที่เป็นรูปนั่งอะไรนั่น

เป็นรูปพระครูรูปหนึ่ง ที่เป็นเจ้าอาวาสวัดไหนไม่รู้

เป็นรูปคนจริงๆที่ได้ถ่ายไว้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ พระครูโลกเทพอุดรอะไรเลย

มั่วๆกันมาและทึกทักกันไปเอง

นี่..พวกสายเกจิอาจารย์และชอบอะไรที่เป็นไสยศาสตร์

วันนี้โม้ไว้แค่นี้ละกัน ค่อยมาว่ากันใหม่..

พระธรรมเทศนา ผ่าน Facebook ณ วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง