คุณแห่งสมาธิยามเช้า

คุณแห่งสมาธิยามเช้า

450
0
แบ่งปัน

****** “คุณแห่งสมาธิยามเช้า” ******

เช้าๆ ตื่นขึ้นมา เราลองลุกขึ้นมานั่ง ทำใจสบายๆ สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ซัก 4-5 ครั้ง

วางความรู้สึกอยู่กับกาย ยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้า ไม่ต้องคิดอะไร..

เฝ้าดูตัวเองรู้สึกถึงการหายใจเข้าออก ทำแค่นี้..สบายๆ

ไม่นานจิตอย่างพวกเรา มันจะหวลกลับไประลึกถึงเรื่องที่ค้างอยู่ในใจ

ความคิด ความรู้สึกทั้งหลาย มันจะพุ่งขึ้นมา นี่เป็นอาการของจิตละ..

เรียกว่าตัวฟุ้งซ่าน ไอ้ตัวฟุ้งซ่านตัวนี้ นี่แหละดี..สำหรับคนมีปัญญา

เพราะมันเป็นตัวแสดงผลในระดับหนึ่งให้เห็นว่า กำลังสมาธิของเราไม่มั่นคง

เราตื่นนอนยามเช้า สบายๆ กายพร้อม จิตพร้อม

ใจเรายังฟุ้งซ่าน ไม่สงบราบเรียบเป็นอารมณ์เดียว

หากทำเวลาอื่น ยิ่งต้องใช้กำลังใจหนัก นั่นเป็นการข่มจิตทั้งนั้น

จึงเป็นการเอาตัวตนเข้าไปเป็น ผู้ทำสมาธิ

แทนที่จะเป็นเรื่องจิตที่มี สมาธิ พวกเรา จึงมีสมาธิที่เกิดจากการข่มจิต

ไม่ได้เกิดจากค่อยๆ กล่อมจิต การที่จะมีจิตหดเข้ามาเป็นปฐมฌาณก็เลยยาก

เพราะเรามักเอาตัวเข้าไปแสดงบทบาท ในการเป็น..

การที่เราลุกขึ้นมาทำสามาธิยามเช้า เมื่อจิตมันคลายจากการข่ม

เราจะเห็นและรู้สึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่มันยังค้างอยู่ในจิต

หากเป็นเรื่องงาน ที่เครียดๆ เรื่องความไม่สบายใจ การขัดแย้งอะไรต่างๆ

ที่ค้างคาตั้งแต่วันวาน เป็นอาทิตย์ หรือเป็นเดือนมาแล้ว

พึงรู้เถิด หากเราเกิดตายขึ้นมา เรื่องที่ค้างคาเหล่านี้ จะส่งผล ทำให้เราไปเกิดเป็นสัตว์

หรือส่งจิตเราไปสู่อบายภูมิที่เป็นทุกขคติได้

หากเห็นจิตที่ระลึกได้กับเรื่องเครียดแค้นชิงชัง

ไม่ถูกใจคนนั้นคนนี้ หรือคิดแต่เรื่องแก้ตัว เขาชั่วเราดี ไม่ยอมจบ

เต็มไปด้วย อาฆาต พยาบาท หากตายตอนนี้ เราก็จะมีสิทธิ์ไปกำเนิดเป็น อสูรกาย

สัตว์พวกนี้อาศัยจิตที่หวาดหวั่นระแวง อาฆาต พยาบาท เป็นแรงส่ง

หากเห็นจิตที่เป็นความอยากได้นั่น ได้นี่ ของผู้อื่น เช่น เมีย เพื่อน ของๆ เพื่อน ทรัพย์สิน

วัตถุที่ไม่ใช่ของเรา แต่เราอยากได้ด้วยเจตนาจิต

หากตายตอนนี้ ก็จะได้ไปกำเนิดเป็นเปรต

หากนั่งไปแล้ว มีแต่ความเร้าร้อน อึดอัดทุรนทุราย มีแต่เรื่อง กำหนัดยินดี

อาฆาต พยาบาท สงสัย ฟุ้งซ่าน เพ่งโทษ ผู้มีคุณ อย่างเช่น พระ ในหลวง หรือผู้มีศีล

ที่ท่านมีความดีจริงๆ หากตายตอนนี้ จิตดิ่งลงนรกลูกเดียว..

นี่เป็นสภาวจิต ที่เราจะแปลความหมายแห่งอาการจิตได้ ด้วยตัวเราเอง โดยไม่ต้องเฝ้าถามใคร

ผลแห่งจิตมันแสดงผลและทางดำเนินไปของมันอยู่

นี่คือ ข้อดี ของการฟุ้งซ่านทางอาการแห่งจิต มันจะแสดงผลออกมาให้เรารู้เอง

แต่เป็นเพราะเรามีปัญญาไม่พอ เราจึงไม่รู้คุณแห่งความฟุ้งซ่าน

เมื่อผลมันแสดง และยืนยันมา เราก็ควรแก้ไข ฟอกจิตฟอกใจซะใหม่

เผื่อตายไปตอนนี้ วันนี้ มันจะได้ไปดีๆ ร่วมกับเขาบ้าง

วันนี้ผ่านไปแล้ว พรุ่งนี้ลองดูใหม่ ทำให้ได้ แล้วหันมามองดูจิตดูกายเรา

มันจะเห็นได้ด้วยตัวเรา ในยามเช้าๆ ที่ตื่นขึ้นมา

เราจะรู้ได้ด้วยตัวเราเอง ว่าทิศทางแห่งจิตเรา มันอาศัยอยู่ในฟากของ กุศล หรือ อกุศล

โดยที่เราไม่จำเป็นต้องให้ใครมาพยากรณ์เรา

เรารู้จิตของเราเองได้โดยการค่อยๆ เริ่มทำ และมันจะชัดขึ้นๆๆ

โดยนำสติเข้าไปสอดส่อง..จิตเราเอง

ส่วนจิตอีกฟาก เดี๋ยวค่อยมานั่งโม้ให้ฟัง

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 18 ธันวาคม 2556 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง…..

เช้านี้ มาว่ากันต่อในส่วนที่เหลือจากเมื่อวาน

เมื่อเราเห็นความชัดเจนแห่งจิต ที่แสดงออกมา ว่าจิตเราเช้าขึ้นมามันไปปักอยู่กับอะไร

ให้พิจารณาอย่างนี้ว่า

ตอนนี้…เป็นเวลาอันสบายของเรา เรื่องนี้เป็นอดีตไปแล้ว ค่อยไปว่ากันข้างหน้า

เรื่องนั้นก็ยังมาไม่ถึง ก็ไปแก้กันตอนมาถึงก็แล้วกัน

ตอนนี้เรากำลังอยู่กับปัจจุบัน ไม่ได้อยู่กับอดีตหรืออนาคตซักหน่อย อย่าโง่นักเลยเรา

หากจะคิดให้คิดถึงบุญถึงกุศล ตอนเช้าๆ ตื่นนอน มันวางง่าย จิตไม่ค่อยดื้อ

ทำตัวสบายๆ ยิ้มเล็กน้อยอย่าให้เรื่องราวที่เป็นอกุศล มาทำลายจิตใจเรา

ทำเช่นนี้บ่อยๆ ง่ายๆ แค่นี้ทุกๆ เช้า จิตมันจะจำแต่สิ่งดีๆ จนเคยชิน

เมื่อชินแล้ว เราจะรู้ด้วยตัวเราเองเลยว่า เรื่องทั้งหลายที่ทำให้เราแย่ๆ มันจะค่อยๆ เลือนหายไป

มันจะอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น และทำให้เรามีสมาธิมากขึ้น ในการที่จะแก้ไขเรื่องราวต่างๆ

หากตื่นขึ้นมาแล้วนั่ง สบายๆ ไม่มีเรื่องกวนใจอะไรออกมาให้เห็น

แสดงว่าจิตเราไม่มีเรื่องใดค้างคาหลงเหลืออยู่ในจิตเลย

หากเป็นเช่นนี้ ให้เราถามตัวเองดู เมื่อนั่งสงบไปซักพัก ว่าหากเราตายตอนนี้ เราจะไปมืดหรือสว่างหนอ..?

หากไม่มีคำตอบ หรือคิดเอาเองโดยการคาดคะเน ให้หยุดคิด ไม่งั้นจิตมันจะปรุง

นั่งทำใจสบายไปอย่างสงบๆ แล้วให้นึกถึงกุศลที่เราทำอยู่เนืองๆ

หากใครที่ใจใฝ่มาทางธรรม และทำกุศลเป็นทานอยู่เนืองๆ อยู่แล้ว ลองถามใจเถิด

ยามเช้าจิตจะบอกหนทางให้เจ้าของรู้ภาวะปัจจุบันที่ถาม ในขณะจิตนั้นทันที

หากจิตบอกว่า ไปสว่าง ให้เราประคองอารมณ์นั้น และระลึกถึงกุศลที่ได้ทำอยู่เนืองๆ

ความอิ่มเอิบในใจและกายจะปรากฏกับใจเรา

เมื่อออกมาจากกรรมฐาน ให้ทำใจที่เป็นกุศลนั้น แผ่ออกไปทุกทิศ ทุกทาง

และพึงระลึกไว้ว่า แม้ตอนนี้เราตายไป เราไปสว่าง

แต่เราไม่ได้ตาย เย็นนี้เราอาจตายได้ ยังไงเรื่องที่จะทำชั่ว ผิดในข้อศีลทั้ง 5 เราก็จะหลีกเลี่ยง

เย็นนี้ หากเราเกิดตายขึ้นมา ยังไง เราก็ต้องได้ไปสว่างเช่นกัน

เพราะปัจจุบันเราประจักษ์ชัดแล้วในยามเช้านี้ หากแม้เราตาย เราไปสว่าง

นี่..เป็นการตั้งสติอยู่บน มรณานุสติกรรมฐานเป็นอารมณ์

และมันจะมีสติระลึกหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ตามความเคยชิน

เมื่อถึงตอนเย็น หากยังไม่ตาย ก็ให้ระลึกถึงอีกว่า แม้ตอนนี้มาถึงเย็นแล้ว

เราไม่ได้ทำผิดศีลข้อใดให้ใจหมองเลย พรุ่งนี้ เราอาจตายได้

ยังไงเราก็จะไม่ทำชั่วในการละเมิดศีลอย่างเด็ดขาด จนถึงวันพรุ่งนี้

เมื่อตื่นนอนมา เราก็มาทำกรรมฐานและถามเหมือนเดิมอีก

เช้าวันใหม่หากได้ทำต่อเนื่องกันมา จิตมันจะตอบให้เรารู้อย่างไวเลย

และเราจะรู้ได้ด้วยใจเราเอง โดยไม่ต้องถามใคร

และเราก็ระลึกและทำเช่นเดิมเช่นนี้ทุกเช้า ทำทุกๆ วัน วันละเล็กวันละน้อย

ขยันก็ทำ ขี้เกียจก็ทำ ทำกันง่ายๆ เช่นนี้ ทำให้มันเคยชิน

วันใดที่กายแตกสลาย จิตดวงนี้ จะไม่มีวันพุ่งลงไปสู่นรก ในอัตภาพนี้อย่างแน่นอน

นี่เป็นหลักสูตรสำหรับหนีนรก ของพวกขี้เกียจ

ไม่ต้องไปรู้มาก ทำมาก ฝึกมาก ทำง่ายๆ เช่นนี้ไม่ลงนรกแน่

แต่ก็ต้องกลับมาเกิด ก็ต้องมาทุกข์กันอีก พวกโลกสวยอาจไม่อยากเกิด

ให้ใช้วิธีนี้ เมื่อใจมันชินแล้ว ให้ระลึกนึกถึงว่า

เกิดอีก เจ็บอีก แก่อีก ตายอีก ต้องพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักอีก เราไม่ปราถนาเกิดอีกแล้ว

เพราะเมื่อมาเกิด ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นใคร เหมือนกับที่เราไม่รู้ว่าอดีตที่ผ่านมาเราเป็นใคร

แต่ที่รู้ๆ ย่อมไม่ใช่ไอ้เราคนนี้แน่ ถ้าใช่ เราต้องจำได้ซิ

แต่นี่ ไม่ใช่เรา เราจึงไม่รู้จักเจ้าคนที่เป็นอดีตนั้น ว่ามันเป็นใคร

ชาติหน้าก็เหมือนกัน ย่อมไม่ใช่เรา เราทำบุญกุศลไปแค่ไหน

ชาติหน้าเราก็จำอะไรที่เป็นเราไม่ได้ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรกับเรา

เราขอปรารถนาไม่เกิด เราปรารถนานิพพาน จากนี้ไปขึ้นชื่อว่าชั่วเราจะไม่ทำ

และจะรักษากำลังใจนี้ไปจนกายสลาย หากเราระลึกไว้เช่นนี้จนชิน

วันใดกายแตก จิตจะเข้าถึงความเป็น พระโสดาบัน.. จะเป็นผู้ที่มาเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ

เป็นจิตประเภท สัตตักขัตตุง เป็นพระอริยเจ้าเบื้องต้น ในบุรุษทั้งแปด

เช้านี้ คุยหนุกๆ กันแค่นี้ สวัสดีครับ…

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 19 ธันวาคม 2556 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง