ชี้ธรรมให้ผี… ( ความพรากแห่งใบไม้ ท่อนที่ 2 )

ชี้ธรรมให้ผี… ( ความพรากแห่งใบไม้ ท่อนที่ 2 )

306
0
แบ่งปัน

*** “ชี้ธรรมให้ผี… ( ความพรากแห่งใบไม้ ท่อนที่ 2 )” ***

ไม่ค่อยว่าง ก็เลยไม่ได้นำมาลงในเฟส นี่ท่อนนี้ โม้ไปเมื่อคืน ว่าจะลงตอนเช้า แต่มีงานและคนมากัน ก็เลยมาว่ากันตอนค่ำ….!!

วันนี้ ต่อเรื่องผี จากเมื่อวานเลย เมื่อ ผีออกไปแล้ว ข้าก็มาหวลคิดถึงธรรมที่ข้าได้แสดงไป มันเป็นธรรมที่ สวยงาม

ซึ่งข้าเอง เอาใจที่เห็นชัด เข้าไปพูด มันเป็นธรรมปัจจุบันกาล ที่หลั่งไหลออกมาจากใจ

ยิ่งเห็นผีร้องไห้ มันก็ยิ่งได้อารมณ์ เมื่อได้อารมณ์ สายธารแห่งธรรมก็ยิ่งหลั่งไหล

ตอนเช้า หลังจากทำสมาธิจิตแล้ว ข้าก็ออกเดินจงกรม รอฟ้าสาง เพื่อออกไปบิณฑบาตร

ขณะที่เดินอยู่ตรงลาน หน้าศาลา

เจ้าแก้ว ก็เดินลงมาพร้อมเพื่อน บอกว่าจะมาเดินจงกรม ร่วมกับข้า

เมื่อเจ้าแก้วมายืนใกล้ๆ ข้าก็ได้กลิ่นน้ำหอม เป็นน้ำหอมชั้นดีที่เดียว

จึงตำหนิเจ้าแก้วไป ว่า..เรามาอยู่บวช ไม่ควรที่จะ นำน้ำหอมมาบำรุงกาย

เจ้าแก้วนิ่งไม่ตอบ ยืนก้มหน้า แต่ใจข้าวูบขึ้นมาในใจ จึงรู้ว่า ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมที่เจ้าแก้วใส่

แต่เป็นกลิ่นที่ผีแสดง เจตนา ออกมาให้รู้ ว่านี่ผีนะจ๊ะ..!!

นี่…ขณะนี้ เจ้าตัวก็อยู่ข้างๆ ข้า เพราะตัวข้า ขนหัวลุกชัน

ถ้าเป็นเมื่อก่อน มาอยู่ใกล้ๆ แบบนี้ ข้าแหกปาก วิ่งกันน้ำบาน

นี่..ขี้เกียจวิ่ง หนักไข่ เฉพาะกระเป๋ง ก็ข้างละ 5 กิโลแล้ว

ไม่ได้ใช้งานมานาน มันคงสะสม หรือไม่ก็คงเป็นใส้เลื่อน ข้อหา ขึ้นที่สูงๆ ไม่ใส่ กางเกงลิง

อย่ายุๆๆๆๆ เดี๋ยวข้าออกนอกเรื่อง ผีมาอยู่ข้างๆ เดี๋ยวข้าไปไม่ค่อยถูกอีก..

กลิ่นน้ำหอมนี้ ท่านอั๋นเขาใส่เป็นประจำ เขาจึงแสดงเจตนา ออกมา ว่านี่คือเขา

แต่ข้าไม่รู้ ข้ารู้เฉพาะ ความวูบวาบ ที่ผีส่งมาผัสสะ

นี่..ผีเล่นเปลี่ยนรหัสมอส ข้าก็งงซิ ดันมาเป็นกลิ่นชาแนล

เมื่อรู้ว่าไม่ใช่เจ้าแก้ว ข้าก็พยักหน้า แล้วให้เขาเดินตาม

นี่..เห็นไหม ผีเขาก็อยากเดินจงกรม ทีตอนยังไม่ชิ่งหน่องกุ๊ก ดันไม่เคยคิดมาเดิน เหมือนๆ พวกที่ฟังกันอยู่นี่แหละ

ท่านอั๋นพอตาย แหม๋ม….มาเดินตามเดินจงกรม ต้อยๆๆ เชียว

ไอ้พวกคนเป็นตอนนี้ ก็เหมือนกัน มันไม่คิดเดิน เดี๋ยวรอมาเดินตอนเป็นอย่างท่านอั๋นก็ได้

เดินไปเดินมาซักพัก ผีก็เดินไม่ทันข้า เพราะผีเดินช้าเหลือเกิน

กว่าจะก้าวแต่ละก้าว โหย..เนิบนาบ สงสัยเครื่องเก่าโหลดช้า

ข้าจึงเดินสวนกับผี ข้าจึงเห็นว่า เจ้าแก้ว ที่ท่านอั๋นครองร่าง มันเดินขาลาก

ข้าจำไม่ได้แล้วว่า ขาข้างไหน แต่เห็นผี..เดินขาลาก

ข้าจึงหยุดเดินและถามว่า ทำไมเดินลากขาอย่างนั้น ผีตอบว่า เจ็บขา

ข้าถามว่า เดินเหยียบก้อนหินเหรอ ผีบอกว่า ไม่ได้เหยียบ

แต่เป็นเพราะว่า ขาข้างนี้ โดนรถชนซะเละ มันจึงเจ็บ และเจ็บมากๆ เดินแทบไม่ไหว

ข้าพยักหน้า บอกว่า เอาไหม ข้ารักษาข้าให้

ข้ามันหมอผี ผีขาเสีย ข้ารักษาได้สบาย ข้าว่างั้น

นี่..ข้ามันหมอผีขนานแท้ รักษาอาการบาดเจ็บของผี

ไม่ใช่หมอผี ที่เป็นประเภทไล่ผี อย่างที่เขาเรียกกัน

นี่เป็นหมอแท้ๆ ที่สามารถรักษา อาการบาดเจ็บ เจ็บป่วย เล็กน้อยๆ ไปยันผ่าตัดใหญ่

ข้านี่รักษาผีแบบนี้ จึงได้ชื่อว่า หมอผี ไม่ใช่หมอผี ที่เสกของหรือพวกอาคมขลัง

หมอผีอย่างนั้น ข้าไม่เอา มันทำร้ายผี แต่หมอผีอย่างข้า มันช่วยผี

และหมอผีอย่างข้า ช่วยมาเยอะแยะ จะบอกให้…

ผีท่านอั๋นจ้องหน้า ตางี้..เขียวปั๊ด ไม่ใช่ตาเขียวปั๊ดเพราะไม่พอใจ อย่างที่เราๆเข้าใจหรอกนะ

นี่..เขียวปั๊ดของจริง คือสีตานี่ ไร้แวว มันเป็นดำขลับ

เวลากระทบแสงอ่อนๆ มันจึงดูเขียวปั๊ด นี่แหละ ตาผี

แต่ข้าไม่ได้สนใจ ข้าถามว่า ว่าไง เอาไหม ข้าจะรักษา ขาที่โดนรถชนมาให้หายขาดเลย

คืนนี้ หรือไม่ก็หลังอาหารวันนี้เลยเป็นไง

ผีท่านอั๋นพยักหน้า คง งงๆ ว่า คนจะมารักษาขาผีที่เละๆ ได้ยังไง

นี่..ผีท่านอั๋นไม่รู้ ว่าเมื่อก่อน สมัยยังไม่บวช ข้านี้ซ่าไปตามสถานที่ต่างๆ

เวลาเจอ ปู่ฤษี หรือผีที่มีฤทธิ์ทิฏฐิแรงๆ ข้านี้ รักษาอาการของผีเหล่านี้ มาหลายต่อหลายท่าน

เอาเป็นว่า ข้าซ่าจนเยี่ยวเป็นฟองละกัน สมัยยังบ้าพลังจิต

แต่ไม่ใช่ซ่าแบบรุกรานผี แต่ข้านี้ คอยช่วยผี ผีจึงมาเป็นเพื่อนกับข้าเยอะ

มีข้อแม้อยู่อย่างก็คือ ห้ามปรากฏกายแบบ อยู่ๆ มาจ๊ะเอ๋ อะไรอย่างนี้

หากอยากพูดคุย หรือต้องการอะไร ให้ส่งรหัสมอสมาก่อน

ไม่งั้น เกิดข้าตกใจช็อก ชักแหง็กๆ น้ำลายฟูมปาก ข้าด่าแม่ ชิบหายวายป่วง

เพราะข้าเองมันเป็นโรคกลัวผี อันดับต้นๆ ของโลกนะจะบอกให้

แม้ดูเหมือนข้าไม่กลัวผี แต่ข้าขี้ตกใจ พวกผีเขารู้ดี เขาไม่ทำอะไรโวยวาย อย่างพวกมนุษย์หรอก

เขานิ่มนวลกว่า เราซะอีก เสือกกลัวเขาเอง ผีท่านอั๋นพยักหน้าตอบรับ จ้องหน้า..

ข้าจึงบอกให้ไปพัก เพราะข้าจะไปบิณฑบาตรแล้ว

พอพูดจบ เจ้าแก้ว ซึ่งยืนคุยกันอยู่ ก็ตัวอ่อนทำท่าล้มตึงลงไปกับพื้น

ข้าต้องเรียกเพื่อนมันที่นั่งสัปหงก ให้รีบลุกขึ้นมาเอาตัวรับ เจ้าแก้วที่กำลังอ่อนแอ่นตัว ม้วนลงไปกอง

แต่ไม่ทัน..เจ้าแก้ว ล้มตุ๊บลงไปหัวเกือบฟาดพื้น นี่ถ้าเจ้าแก้วตายขึ้นมา สงสัย…ข้าซวยอีก

เพราะใครจะไปรู้ ว่าที่ข้ายืนคุยกันอยู่นี่ ข้ากำลังคุยอยู่กับผี ไม่ใช่ยืนคุยอยู่กะคน

ตอนนั้น จะเข้าไปอุ้มร่างมันก็ไม่กล้า ยังกลัวอาบัติอยู่

แต่เดี๋ยวนี้..ไม่กลัวแล้ว นมทิ่มหน้า ข้าก็ไม่กล้ว พอเข้าใจแล้ว มันไม่กลัวอาบัติ ที่กลัว เพราะยังไม่เข้าใจ

ตอนไปบิณฑบาตร เจ้าแก้วได้รู้สึกตัว แล้วก็รีบ ออกไปหาอาหารมาใส่บาตรข้า

ข้าเอง สมัยนั้น จะเดินองค์เดียว ตัดผ่านทุ่งนาไปไกลๆนู่น เดินอย่างเทห์และภูมิใจ

ชาวบ้านเขาจะมารอดักใส่บาตรกันเยอะ เขาชอบพระแบบนี้

เพราะข้าจะเดินออกจากวัด ก็ตอน เห็นสีของใบไม้ชัดเจน

เหล่าพระ เขาเดินทางกลับวัดกันหมดแล้ว แต่ข้า เพิ่งออกไป เป็นเช่นนี้ทุกวัน

ข้าลุกขึ้นตั้งแต่ตีหนึ่งครึ่ง สวดมนต์ นั่งสมาธิ ครองจีวรและออกมาเดินจงกรมครองบาตรรอฟ้าสาง

ชาวบ้านเขาจะกันอาหารไว้ไห้ข้า และข้าก็รับแค่บาตรเดียว เต็มแล้วกลับ ชาวบ้านจึงมักมาแย่งกันใส่

ทีนี้..เจ้าแก้ว เมื่อมาถึง ก็รีบแย่งชาวบ้านใส่ มันอยากใส่บาตรเป็นพิเศษ

ตอนเดินกลับ เจ้าแก้ว ก็เดินกลับตามหลังมาด้วย ข้าเดินนำหน้า

แต่ระลึกได้ทันทีว่า ผีท่านอั๋น สิงร่างเจ้าแก้วเดินตามซะแล้ว

ที่ใส่บาตรนั้น ผีมายืนใส่บาตร ไม่ใช่คน นี่ผีเขาก็อยากใส่บาตรข้า เขาบอกว่า มันได้บุญกุศลสูง

ระหว่างทาง ข้าจึงหยิบพระธาตุส่งให้ผีท่านอั๋น และถามว่า รู้ไหม นี่คืออะไร

ผีท่านอั๋นพยักหน้า ตอบว่ารู้ ข้าจึงบอกว่า นี่เป็นกระดูก พระอรหันต์ธาตุ เป็นผลึกแก้วใส

เมื่อเวลา ข้ามาบิณฑบาตรทุกเช้า ผลึกพระอรหันต์ธาตุนี้ จะตกอยู่ระหว่างทางเดินสัญจร ตรงเป็นดินที่เป็นโคกตรงนี้ ทุกวัน

หากไม่เจอตอนมา ก็จะเจอตอนกลับ ในเส้นทางเดินนั้น ข้าเก็บไปไว้วัดทุกวัน วันละ ห้าหกองค์ แต่คนอื่นที่เดินตามมา จะไม่เจอ

ข้าเจอ ข้าก็จะชี้ให้เก็บ ผีท่านอั๋น ดีใจมาก ที่ได้ผลึกแก้วไปจากข้า

ถามว่าได้ไปจากข้าหรือ มันก็เปล่า ข้าแค่ชี้ว่า นั่นเห็นไหม และนี้อะไรรู้ไหม จึงก้มลงหยิบให้ ก็เท่านั้น

และตรงโคกนั้น ข้าจะยืนกำหนดจิต แผ่นส่วนบุญส่วนกุศล ที่ข้าได้กระทำมา

พร้อมแผ่อาหารที่บิณฑบาตรมาได้นี้ สำเร็จแก่ทุกท่านทุกผู้ทุกนาม

ข้าแผ่ ข้าทำของข้าทุกวัน โดยไม่มีใครชี้ใครสอน และไม่รู้ว่า ตัวเองทำไปทำไม และเพื่ออะไร

แต่ก็ทำๆ ไป ทุกๆ วัน จนเป็นสันดานก็ว่าได้

เพิ่งมารู้ความจริง ก็อีตอนที่ผีท่านอั๋นบอกนี่แหละ

เพราะผี ที่ข้าแผ่ออกไป ไม่เคยมาบอก ว่าได้รับรึเปล่า แต่ผีท่านอั๋น ซึ่งเป็นผี เช่นกัน ท่านบอกแทน

ท่านบอกว่า ที่ข้าแผ่อุทิศบุญ ที่ได้กระทำและการที่ได้รับบิณฑบาตรมา

และขอบิณบาตรนี้สำเร็จแก่ทุกท่าน ทุกผู้ทุกนามนั้น เพราะข้าเอ่ยชื่อ และแผ่ยาวเหยียด

ผีท่านอั๋นบอกว่า ดวงวิญญาณแถวนั้น สาธุคุณ และสว่างจ้า เป็นดวงจิตใสเปล่งประกาย

ได้หลุดพ้นจากบ่วงกรรม และไปกำเนิดตามภูมิวิบาก กันนับแสนนับล้าน

นี่..ผีเขาว่าอย่างนั้น ข้าไม่ได้ว่าของข้าเอง ข้าแค่เล่าให้ฟัง

อะฮ้า…ข้าเพิ่งรู้ ว่าสิ่งที่ข้าทำไป มันไม่เป็นหมัน

นี่..ข้าเพิ่งรู้ตอนนั้นเอง ว่าการที่เรา เดินจงกรม และทำกรรมฐานทั้งคืน พร้อมปฏิบัติภาวนาอย่างจริงจัง

มันมีกำลัง มากมายที่จะช่วยเหลือเกื้อกูล แก่เหล่าดวงวิญญาณ

นี่..ผีบอกข้าเองนะ แต่ผีบอกว่า ไม่ใช่ว่าใครแผ่แล้วจะเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ใช่อีก

มันมีเงื่อนไขและเหตุปัจจัยแห่งกำลังจิต และสัญญาที่สร้างสมและร่วมกันมาอีก

มันจึงจะได้ผลและเข้าถึงดวงวิญญาณ

แต่ที่รู้ๆ เหล่าดวงวิญญาณแถวนั้น

ได้ไปเกิดใหม่กันไม่รู้กี่ล้านต่อกี่ล้าน เพราะมันมีดวงวิญญาณซ้อนมูลกันหลายยุค

บางดวง เขารอมาเป็น ล้านๆ ปีมาแล้วก็มี มันนานขนาดนั้น

โม้อย่างนี้ คนก็คงไม่เชื่อ ก็คิดว่า ข้าโม้ให้ฟังหนุกๆ ก็แล้วกัน อย่าได้ใส่ใจ

เมื่อดวงวิญญาณที่พ้นวิบากไปแล้ว ไปจุติตามวิบากภูมิแล้ว พลังงานดวงใหม่ ก็เข้ามาแทนที่

ข้าอยากจะบอกว่า จักรวาลนี้ ไม่มีอะไร จะมีปริมาณมากไปกว่าดวงวิญญาณอีกแล้ว

มันหนาแน่น อัดอยู่เต็ม ทั้งจักรวาล เรามันมองไม่เห็นเอง

การได้มามีรูปเป็นมนุษย์นี้ โชคดีหลายแล้ว แต่ความโง่มาบดบัง ทำให้ไม่สามารถลืมตามองเห็นโลก ที่แท้จริงได้

แต่ขอให้ มีใจคลำๆ เอา ก็ยังดี อย่าได้มืดบอดอะไรนักให้มันหนักโลก

เมื่อข้ามาถึงเขตวัด ข้าก็จะยืนกำหนดจิต แผ่อีก ผีท่านอั๋น ก็บอกว่า

ผีเหล่านั้น ดีอกดีใจ เปล่งแสงแห่งดวงจิตแพรวพราวกันไปทั้งบริเวณวัด

โอ๊ะๆๆ ข้านี้แสนจะปลื้มใจ ที่อุตสาห์ทำความดีให้ผู้อื่น โดยไม่เคยรู้เลย ว่ามันมีผล มีคุณมากมายขนาดนี้

เดินเข้าวัดไป หน้ายิ้มไป หน้าบานชื่นใจที่ได้เป็นพระกระทำความดี

ภูมิใจเพลินไปหน่อย สะดุดรากต้นไทร หัวทิ่มกองตรงหลังวัด ลงไปนอนจุกแอ๊กๆ บาตรกระจาย ลุกเก็บแทบไม่ทัน

ปลื้มใจเพลินไปหน่อย ที่ได้รู้ความจริง ในสิ่งที่ทำ ฮูยย…

วันนี้ คงพอแค่นี้แหละ หมดเวลาแล้ว เลยกลายเป็นว่า เรื่องธรรมแห่งใบไม้ ข้าค่อยมาโม้ต่อพรุ่งนี้นะ คืนนี้ หลับฝันดีทุกคน หวัดดี

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง