กรรมฐานแตกเพราะขาดผู้ชี้

กรรมฐานแตกเพราะขาดผู้ชี้

695
0
แบ่งปัน

***** “กรรมฐานแตกเพราะขาดผู้ชี้” *****

เมื่อเช้าได้แสดงธรรมไปในเรื่องวันมาฆบูชา

ในวันนี้ ที่นี่ได้ทำการแสดงมุทิตาจิต และยกพานขึ้นกรรมฐาน

มีคนถามเรื่องกรรมฐานแตก มันเป็นยังไง หากไม่ได้ทำพิธีการยกพานขึ้นครู

เรื่องกรรมฐานแตกนี่ ข้าจะเล่าให้ฟัง ไว้นอนอ่านเล่นคืนนี้

เรื่องนี้เคยเล่ามาให้ฟังนานแล้ว ยกเอาให้ฟังกันใหม่

ถาม…. อะไรคือ กรรมฐานแตก ใครพอจะให้ความรู้ทางธรรมได้บ้างไหมครับ \\

พี่ธัน… ตามที่พระอาจารย์ได้แสดงธรรมไว้ในหน้าเฟสค่ะ

****** กรรมฐานแตก ****

ข้าจะเล่าเรื่องกรรมฐานแตกให้ฟัง

เวลากรรมฐานแตกนี่ มันถึงกับบ้าไปเลยเชียวเป็นเล่นไป

ในสมัยนู่น นานมาพอสมควร มีเณรที่ปฏิบัติเคร่งอยู่รูปหนึ่ง

เขาเป็นศิษย์อาจารย์อะไรจำไม่ได้ เขามารออาจารย์เขาที่วัดประดู่ทรงธรรม จ.อยุธยา

ในสมัยนั้น ที่วัดประดู่ น่ากลัว ต้นไม้ใหญ่ครื้ม รกและไม่มีใครกล้าเข้าไป คนมันกลัวผี

ที่นี่ เณรแกมาพักอยู่ตรงป่าช้าหลังวัด ตรงนั้น มันเป็นต้นไทรใหญ่ เป็นที่ทิ้งศพทารก ที่เขาทำแท้ง ศพเด็กเป็นร้อย เขาเอาไปฝังที่นั่น

บรรยากาศตอนนั้นน่ากลัว ไม่มีใครมาอยู่และมาพักตรงป่าช้านั่น

แต่พวกพระที่เล่นไสยเวทย์ ก็แอบไปฝึกจิตอยู่ที่นั่นเหมือนกัน

เพราะที่นั่นขึ้นชื่อเกี่ยวกับพวกมนต์ดำ การทำของขลังอะไรต่างๆ

เรื่องนี้นี่ เกือบ สามสิบปีแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเกิดได้ไม่นาน

เณรเป็นเด็กที่เคร่งครัดการปฏิบัติมาก เณรอายุราวๆ 17-18 กำลังไฟแรง ตั้งใจมั่นคง ลุยหน้าฝึกฝนปฏิบัติอย่างเดียว

เดินจงกรมจนทางนี่ ลึกเป็นร่องและเนียนเป็นมันเลย นี่..คนเอาจริง

วันหนึ่ง หลังจากเดิน จงกรมจากตอนเย็นไปยันห้าทุ่ม เณรก็ขึ้นกุฏิพัก

การพักของเณร คือมานั่งสมาธิต่อในกุฎิ

จิตที่หนาแน่และอยู่คนเดียวจนชิน ทำให้เณรไม่กลัวอะไร คนอื่นอาจดูน่ากลัว แต่เณรไม่กลัวอะไร

เมื่อนั่งไปซักครู่ เณรก็ได้ยินเสียงคนเดินขึ้นกุฏิ

เสียงลั่นของพื้นไม้ แบบคนเดินหนักๆ เดินมาหยุดอยู่ด้านหลังเณร

ทำให้เณรสงสัยมาก ว่าใครขึ้นมาบนกุฏิใด้ นี่มันจะเที่ยงคืนแล้ว

แถมที่นี่เป็นป่าช้า ขึ้นชื่อว่าผีโคตรดุ ห้าโมงเย็นก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาหรือเดินผ่านแล้ว

แล้วนี่เป็นใคร ต้องเป็นคนแน่ๆ ไม่ได้เป็นอาการปิติทางโสตแน่

เพราะกายวิญญานมันก็รับรู้การสะเทือนของพื่นไม้

ความสงสัยทำให้มีคำถามอยู่ภายใน ว่าใครๆๆๆๆ

สมาธิที่เคยหนาแน่ เริ่มโยกคลอนด้วยความสงสัย

กลิ่นหอมๆแบบกลิ่นแป้งร่ำอ่อนๆ โชยมาแตะจมูก

เสียงที่หยุดอยู่ด้านหลัง ก็เดินอ้อมมายืนอยู่ข้างๆ

และเสียงสะบัดสไบผ้า พร้อมเสียงคนนั่ง ก็หยุดนิ่งเงียบอยู่ตรงข้างๆเณร

ความสงสัยของเณรเพิ่มทวีคูณ ใจเริ่มแบ่งเป็นสองทาง

จะนั่งข่มสมาธิ ไม่รู้ไม่ชี้ หรือลืมตาขึ้นมาดูว่าใครมันมานั่งอยู่ข้างๆดี

กลิ่นหอมโชยอ่อนมาแตะจมูกอีก มันช่างรึงเร้าใจให้อยากรู้

นี่เป็นกลิ่นของผู้หญิง ผู้หญิงที่ไหนจะมาหาเณรในป่าช้า ยามเที่ยงคืน

ใครๆๆๆๆ..????? เณรเริ่มสมาธิแตกซ่าน หรือว่าสิ่งนี้คือ…ผี..!!!

พอสะกดคำว่า ผี ออกมา ใจเณรก็เริ่มสั่น ขนหัวลุกตั้งชัน ขนลุกขนพอง

ผีมันมานั่งอยู่ข้างๆ ต้องเป็นผีแน่ๆ นี่คือผี และผีที่คิดว่าไม่มี กำลังนั่งอยู่ข้างๆ

นี่ถ้าเป็นข้า ผีก็ผีเหอะ กูร้องจ๊ากกก วิ่งกันน้ำบาน…!!!

เณรไม่เคยเจอผี ก็ไม่นึกว่าผีมันจะมี ใจมันจึงไม่กลัว อาจารย์ก็บอกว่าผีไม่มี

คนตายไปแล้วจะมีอะไรมาหลอกมาหลอน ถ้ามีผี ก็ต้องมีขี้ผีด้วยซิ

ผีคงไม่ทำส้วมไว้ขี้หรอกนะ นี่อาจารย์เณรเขาว่า

แต่ตอนนี้ นั่งหลับตา มันมองอะไรไม่เห็น และไอ้ตัวสังสัยว่ามีหรือไม่มี มันกำลังนั่งข้างๆ

ความสงสัยว่า ใครขึ้นกุฏิมานั่งอยู่ข้างๆ แถมกลิ่นแป้งร่ำก็โชยระเหยไปทั่ว นี่มันใครและคืออะไร

ยิ่งคิดก็ยิ่งขนหัวลุกตั้ง ความไหวหวั่นตามประสาความเป็นเด็กก็เริ่มหนาแน่น

จึงตัดสินใจลืมตา ค่อยๆหันไปทางขวาที่ตนสงสัย

ในความสลัวนั้น เป็นผู้หญิงสวยผมยาว เฉียงสไบ

นั่งก้มหน้า พับเพียบเรียบร้อยข้างๆเณร

เณรยิ่งเพ่งก็ยิ่งชัด เธอนั่งเอามือวางบนตักและก้มหน้า

ในความสลัวนั้น ความชัดแห่งเรือนร่างและรูปทรง มันเป็นประกายขึ้น

แม่นางค่อยๆหันเงยหน้ามาหาเณร เณรเพ่งดูด้วยใจระทึก

เมื่อหน้านั้นหันเงยขึ้นมามองเต็มหน้า เธอเป็นผู้หญิงหน้าใข่สวย

แต่ตาเธอโบ๋ว ลูกกระตาเธอไม่มี มันเป็นเบ้าลึกหายไปในโพลงตา

เณรตาเหลือกหายใจเข้าดังเฮือก.ก.ก

นั้นเป็นภาพสุดท้ายที่จำได้ ผ่านมาสิบปี จึงมาเจอข้า

เณรบอกว่า เณรบ้าไปเกือบสิบปี เพราะอีผีตัวนั้น

ตอนที่คุยกันเขาไม่ใช่เณรแล้ว เขาเป็นหนุ่มใหญ่บ้าวิชา ที่กรรมฐานแตก

ใส่ชุดขาว และพูดจาท่าทางเป็นผู้เคร่ง

แม่เขาย้งต้องคอยดูแล สามวันดี สี่วันบ้า ว่างั้นเหอะ

พอฟังแล้วข้าชักสยอง พอดีช่วงนั้น ข้าก็กำลังเจอภาวะเหล่านี้เหมือนกัน

เมื่อเจอเณรที่ปฏิบัติแล้วเป็นเช่นนี้ ใจข้าก็เริ่มถอด

กำลังชั่งใจอยู่ ว่าจะทำกรรมฐานต่อไปอีกไหม

เพราะข้ากำลังโดนพลังงานบางอย่าง มันมาทดสอบจิต

ถามว่าทดสอบไหม มันกะมาเอาข้าให้ตายเลยทีเดียว

ข้อหา สั่งตัดหัวพวกมัน มากกว่าสี่ร้อยคน ที่ลานหน้าวัง อยุธยา

เดี๋ยวนี้ เขาเรียกว่า ตลาดหัวรอ

ตรงนั้น เป็นลานที่ข้าเคยสั่งประหารพวกแย่งบ้านเมืองกัน

ตัวหัวโจก มันเครียดแค้นข้า มันตะโกนก้องว่า

” ขอจองเวรข้า ทุกภพทุกชาติ นับจากนี้ไป กูจะตามจองล้างจองผลาญพวกมึง ”

ปากมันเสียตั้งแต่ยังไม่ตาย จึงให้คนเอาปลายดาบสับไปยังปากมัน

ก่อนที่จะตัดหัวประจาน เรียงรายตลอดสายแม่น้ำป่าสัก

นี่..ไอ้เจ้าผีนี่ มันเล่นงานข้า และข้าก็ชักปอดแหกกับมัน

เรียกว่า เริ่มกลัวผีขี้ขึ้นสมอง พอมาฟ้งเรื่องราวของเณรเข้าให้อีก

ใจข้าก็ถอดกองอยู่แถวนั้น

เรียกว่า จะไม่เอาไม่ทำแล้ว กรรมฐาน ยิ่งมาเห็นเณร กรรมฐานแตกเข้าให้อีก เป็นสิบปียังไม่หายขาด

ใจมันก็ฝ่อ นี่เป็นสิ่งที่น่ากลัว สำหรับคนเอาจริง
พวกเอาไม่จริง มันก็ไม่พบเจออะไร

มันก็โม้ออกความเห็นพล่ามไปเรื่อย พวกกรรมฐานแต่ในบ้าน

พวกกรรมฐานแต่ยังเอากันบนเตียง แล้วโม้นั่นโม้นี่

เดี๋ยวค่อยมาเล่าไหม่ วันนี้ขอพอแค่นี้ก่อน สวัสดี


****** กรรมฐานแตก ท่อน 2 *****

หวัดดี ยามเที่ยง ขอให้มีความสุข…

…เรามาว่ากันต่อเรื่องการทำกรรมฐาน

ปัญหาของผู้ฝึกเอาจริงเอาจัง แล้วกรรมฐานแตกนี่ เหตุหลักเลยคือศีลไม่บริสุทธิ์

ความมีที่ตั้งแห่งใจ มีไม่พอ ไร้ครูบาอาจารย์ผู้ชี้ ที่ทรงคุณและถูกต้อง

เณรคนนี้ หลวงพ่อ สละ เกจิอาจารย์แห่งวัดประดู่ ได้เตือนแล้ว ว่าให้มาขึ้นกรรมฐานก่อน

แต่เณรไม่เอา บอกว่าคนละสาย เขาไม่ใช่สายฤทธิ์

ของเณรมาสายปัญญา ฝึกเพื่อให้เข้าถึงปัญญา เณรว่างั้น

++ หลวงพ่อบอก งั้นให้มาต่อศีลก่อน ให้ใจมีที่ตั้ง สายไหนก็ไม่เป็นไร

— เณรบอกว่า ไม่ต้องต่อหรอก เขาบริสุทธิ์อยู่แล้ว ไม่ทำชั่วอะไร

นี่..ความมั่นใจของเณรเขา จริงๆ มันก็ถูก

แต่ความถูกนั้น มันถูกเพราะเณรคิดเอา และเป็นมานะแห่งตนที่เณรแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว

นั้นก็คือ ความแข็งกระด้างแห่งจิต ที่พระผู้ใหญ่อย่างหลวงพ่อ สละ ซึ่งเป็นพระอาจารย์คน ลูกศิษย์มากมายทักท้วง แต่เณรไม่ฟัง เณรมั่นใจความดีของเณร

หากเป็นคนปฏิบัติ เมื่อระดับพระอาจารย์ผู้มากประสบการณ์ทัก ใจที่อ่อนควรค่าแก่การปฏิบัติ มันจะน้อมลงฟัง

ที่ไม่ฟังนี่ เป็นทิฏฐิที่แข็งกระด้าง มานะจัด มานะนี่เป็นการอวดตัวอวดตน ว่า เป็นคนเก่งเอาตัวรอดได้

ตรงนี้ เณรมองไม่เห็นใจตนเอง ที่สุด กรรมฐานเณรก็แตก

กรรมฐานแตกแล้วแก้ยากท่านเอ๋ย เพราะนี่ไม่ใช่เป็นการโดนของ แต่เกิดจากความตกใจและกลัวจนเกินทิฏฐิตน ที่จะรับได้

โปรแกรมจิตมันเลยแฮ้งค์ไปเลย ไม่เข้าร่องเข้ารอย เรียกว่า ขวัญหนีดีฝ่อไปเลยชีวิตนี้

การทำกรรมฐาน ในที่นี้ คือการปฏิบัติภาวนา ด้านอานาปาน

หากไม่มีผู้ชี้ที่ถูกต้อง เมื่อเวลาจิตมันรวมตัวกันหดตัวเข้ามาสู่ภวังค์

นอกเหนือไปจากอำนาจแห่งตัวเราควบคุม มันจะแสดงออกมาทางอาการต่างๆ ตรงนี้เรียกว่า ปิติ

ปิติ นี่ เป็นอาการแห่งจิต ที่มันปรุงขึ้นมาตามเหตุปัจจัยของมัน ที่สร้างสมโปรแกรมกันมา

แต่สติที่ยังคงตามรู้อยู่ เข้าไปรับรู้อาการปรุงแต่งเหล่านี้

ความแปลกใจ ความตกอกตกใจ สำหรับบางคน มันก็เลยเกิด

บางคนออกมาทางมโนจิต ทางกายวิญญาณ คือความรู้สึกทางกายต่างๆ

ทางโสตวิญญาณ คือเสียงต่างๆ

ทางฆานวิญญาณ คือกลิ่นต่างๆ ทางจักขุวิญญาน คือภาพต่างๆ

เหล่านี้ ทำให้คนที่ใจไม่ตั้งมั่น เกิดขวัญหนีดีฝ่อ เพราะยังไม่มีบันทึกในสัญญา การป้องกันตัวตามโปรแกรมจิตมันก็เลยเกิด

มโนจิตก็ยิ่งเอาเหตุแห่งความกลัวนี้ เป็นเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้มันยิ่งๆ ขึ้นไปอีก

ความกลัวตายก็ข้ามากุมหัวใจ หากไม่เป็นบ้า เจ้าของก็เลิกไปเลย และเลิกกันมามากแล้ว ด้วยความกลัว

กลัวเช่นนี้ ก็เรียกว่า กรรมฐานแตก ที่ตั้งแห่งใจที่ตั้งมั่นด้วยสติไม่มี มันมะลายหายไปหมด ด้วยผลกระทบแห่งการปรุงทาง มโนจิต

แต่นี่ เป็นอย่างอ่อน แค่เลิกทำ เลิกเพราะไม่กล้า ไม่มีผู้ชี้แนะที่ทรงคุณชี้

ชีวิตนี้ ก็จะเลิกไปเลย ในการทำกรรมฐาน

มีพระอยู่รูปหนึ่ง ชอบการทำกสิณโดยการเพ่งเทียน

ท่านเพ่งมานาน เพ่งมาเป็นสิบปีแล้ว ท่านบอกว่า ท่านอยากได้ทิพย์จักขุญาณ

การเพ่งเทียนจะทำให้ท่านได้ทิพย์จักขุญาณ ท่านว่างั้น

แต่เพ่งเท่าไหร่ก็ไม่ได้ซักที จึงได้มาหาข้า และได้ชวนกันไปเพ่งกันในถ้ำ นี่..เมื่อสิบกว่าปีก่อน

ปกติ ท่านอยู่วัด เพ่งวันละชั่วโมงสองชั่วโมง เพ่งตามหนังสือว่า ตามเขาว่า ตามตำราว่า ใครอย่าไปพูดเชียว กับพวกเพ่งมานานเป็นสิบปี

มันไม่ได้อะไร มันก็บอกว่าได้ มันจะขี้โม้โขยงโฉงเฉง อวดตัวเพื่อให้ใครๆมันยอมรับ

แต่จริงๆ ไม่ได้เหี้ยอะไรกับเขาหรอก แค่กลัวเขาจะหาว่า ฝึกมานานทำไมไม่ก้าวหน้า
นี่..ปัญหาของพวกไม่มีครู

การเพ่งในที่ๆมีคนขวักไขว่ มีเครื่องใช้ ทีวี โทรศัพท์ อะไรต่ออะไรล้อมรอบน่ะ จิตมันไม่เจริญ

แม้ทำตลอดชีวิตก็ไม่เจริญ มันเพ่งเอาชั่วโมง เพ่งเพื่อไว้โม้อวดตัว ไม่ได้เพ่งเอาดีเพื่อให้ถึงที่สุด

ข้านี่ ปกติชอบไปตามเขาตามป่า พอได้เจอคุยถูกคอกัน พระท่านก็เลยจะขอไปด้วย ก็เลยพากันไป ไปอยู่ในถ้ำทางกาญจน์ ห้าหกวัน

ปรากฎว่า วันที่สาม วิ่งแก้ผ้าออกมาจากถ้ำ ทุกคนตกใจกันหมด วิ่งไล่จับและถามไถ่ได้ความว่า ผีในถ้ำมันจะหักคอ ปากก็ร่ำร้องแต่คำว่า กลัวๆๆๆๆ

เมื่อตั้งสติอารมณ์ได้ก็พากลับวัด กลับแล้วก็เลิก ทำกรรมฐาน

ที่สุด.. ก็สึกออกไป สติก็ปร้ำๆ เปร๋อๆ พอเจอศึกจริง ก็เอาดีไม่ได้

นี่ โทษของกรรมฐาน ขนาดนั่งมาแล้วเป็นสิบปี มันก็โง่มาทั้งสิบปี เหมือนคนเพิ่งนั่งนั่นแหละ

ข้าเองเคยเอาเทียนเข้าไปนั่งเพ่งคนเดียวในถ้ำมืดๆคนเดียวหลายครั้ง อยากพิสูจน์ว่าทำไมถึงได้บ้ากัน

มันจะมีอยู่ชั่วหนึ่ง ตอนจิตรวม เป็นช่วงที่เรากำลังเคลิ้มๆเข้าสู่ภวงค์ เคบิ้มๆนี่ ไม่ใช่ง่วงใกล้หลับนะ สติมันชัดและหนาแน่นอยู่

แต่ภาพรายละเอียดรอบๆเปลวเทียน มันตัดออกหมด จนเปลวเทียนลอยเด่นออกมาท่ามกลางความมืด

เมื่อเทียนลอยเด่นชัดขึ้นมาในความมืดมิด เปลวเทียนจะเริ่มขยายใหญ่ ตรงนี้บางคนอาจตกใจ

มันจะเหมือนตัวเราไหลเข้าไปอยู่ในเปลวเทียน นี่..มันปรุงแต่งมาทางจักขุวิญญาณ

หากจิตมันปรุงมาทางโสตวิญญาณด้วย

เสียงปะทุ แห่งเปลวเทียนที่มันระเบิดลั่นออกมา

มันกระหึ่มกังวานยังกะระเบิดลง เปรี๊ยะเดียว
กำลังเพลินๆ นี่ ช็อกแดก

ถ้าปรุงมาทาง กายวิญญาณ มันก็จะร้อนเพราะเพลิงแดงที่มันขยายใหญ่ มันแผดเผาเอา

มันก็ตกใจกระโจนเผ่นกันล่ะ

นี่..ภาวะการปรุงแต่งเช่นนี้ คนมันไม่เข้าใจ ขาดการอบรมจิต

ขาดผู้รู้มาชี้แนะ ไม่เข้าใจภาวะแห่งจิต ทำเพื่ออวด ทำเพราะเข้าใจเอาเอง

เมื่อถึงภาวะหนึ่ง สิ่งเหล่านี้จะเป็นโทษ

แต่ถ้าเข้าใจ มีสติรู้ทัน มีครูบาอาจารย์เป็นที่ตั้ง เอาชีวิตเข้าถึงความเป็นพระรัตนไตร

สิ่งเหล่านี้ แทบไม่เกิด ถึงเกิดก็ดูเป็นเรื่องเล็กน้อย

มันจะผ่านไปได้ โดยไม่เป็นภัย อาการทั้งหลายที่ปรุงตามเหตุปัจจัย

มันจะเลือนหายมาเป็นเปลวเทียนที่ตั้งลอยเด่น อยู่ตรงหน้าแทน

และนิ่งสงบอยู่เช่นนั้น ไร้การปรุงแต่งใดๆ เปลวเทียนจะเริ่มเปล่งใส เป็นประกายพฤษ

ที่สุด..ก็จะเป็นวงแก้วสวยงาม มีแต่สติลอยเด่นอยู่ พร้อมวงแก้วประกายพฤษที่เป็นอุเบกขา

เมื่อจิตถอยกลับออกมา ดวงแก้วนี้จะติดตาถอยกลับออกมาด้วย

เมื่อมารู้ตัวทั่วพร้อม ที่เขาเรียกกันว่า อยู่ในขั้น อุปจาระสมาธิ

ตั้งสติเพ่งไปที่ดวงแก้ว โยนิโสให้เพิกหายไป แล้วให้สิ่งที่ต้องการ ขึ้นมาเป็นรูปแทนดวงแก้ว

เช่นนี้ ความเป็นทิพย์จักขุญาณจึงจะเกิด

จะมั่นคงและยาวนานแค่ไหน มันก็ขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิที่เราฝึกฝนมา

แต่จะให้แน่นอนตลอดไปนี่ ไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับกำลังที่สร้างสมมา

นี่..คือคุณของการผ่านโทษไปแล้ว ในเรื่องของภาวะจิต

การขึ้นกรรมฐานกับผู้ทรงคุณ และเจตนาบริสุทธิ์ จะเป็นที่ตั้งแห่งจิต ไม่ทำให้เกิดโทษภัยได้

การระลึกถึงกุศล การกล่าวคำอาราธนาครู การสวดมนต์ก่อนทำกรรมฐาน

ช่วยให้ใจตั้งมั่นขึ้นมาได้

การแผ่เมตตาจิต อุทิศความดีในกุศลทั้งหลาย ออกไปทุกทิศทุกทาง

เป็นการแก้กรรมฐานแตกได้

การน้อมน้อมต่อสถานที่ ขอขมากรรม ระลึกคุณของครูบาอาจารย์ ถึงพรหมเทวา ถึงพระรัตนไตร

ต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ใจมีที่ตั้ง และแก้อาการกรรมฐานแตกได้

เรื่องจิตนี่ เราอย่าไปทำเก่งกับมันเลย เราไม่รู้จักอาการจริงๆ ของมันหรอก

ไอ้ที่บอกว่าดูจิตๆๆๆ น่ะ มันเป็นแค่ดู ความคิด ความรู้สึกที่เป็นเวทนาหรอก

ตัวผู้ดูล่ะเป็นใคร ถึงได้ไปดูจิตเห็น หรือผู้ดูไม่ใช่ตัวจิต หรือเป็นใครที่ไหนอีก มาเห็นจิต และจิตมันอยู่ตรงไหน

เอาเวทนาทางความคิด ความรู้สึกมาเป็นจิต แต่ไม่เคยย้อนกลับมาดูผู้ดูเลยว่า ใครมันเป็นผู้ดู

และไอ้ผู้ดูนี่ มันเป็นใครและอยู่ตรงไหน

ถ้ากรรมฐานแล้วเกิดการวินิจฉัยกันเช่นนี้ เรื่องกรามฐานแตกจนประสาทหลอนบ้าใบ้ มันก็จะไม่เกิด..

>>คำถาม : ขอความกระจ่างจากท่านธรรมกะ ว่าระหว่างกลัวผีกับกลัวตายนี้ เป็นตัวเดียวกันหรือเปล่า ช่วยอธิบายให้เข้าใจด้วยครับ เพราะสงสัยปัญญาน้อยสะกิดหน่อย เพื่อสะเก็ดความโง่มันจะได้หลุดบ้างสาธุ

<<พระอาจารย์ : กลัวตายก็อย่าง กลัวผีก็อย่าง แต่ออกมาจากความหลงเหมือนกันครับ หลวงพ่อจักษ์

กลัวนี่เป็นโมหะ แต่ละคน มีเหตุปัจจัยไม่เหมือนกัน

บางคนกลัวปลิง กลัวแมงสาป แต่ไม่กลัวผี นี่ก็มี

บางคนกลัวผี แต่ไม่กลัวปลิง ไม่กลัวแมลงสาป นี่ก็มี

ส่วนกลัวตายนี่ เป็นธรรมชาติของดวงจิตทุกดวง ที่มันมีหน้าที่ตามโปรแกรมจิต

เพราะมันเป็นโปรแกรมรักษารูปของมัน ตัวจิตเอง ไม่มีคำว่า กลัวหรือไม่กลัว

ความกลัวหรือไม่กลัวนี่ เป็นอาการหนึ่งที่มีเราเข้าไปเป็นเจ้าของในภาวะ และเกิดการตัดสินใจขึ้นมา

ที่บอกว่าไม่กลัวตายนั้น เป็นเพราะยังไม่มีเหตุปัจจัยให้กลัว

ถ้าไม่กลัวตาย ก็ต้องไม่ต้องกลัวเจ็บ กลัวปวด กลัวร้อน กลัวหนาวด้วย

แค่กลัวเขาว่าเราไม่ดี เรายังทนไม่ค่อยได้ เรื่องตายไม่ต้องห่วง ปากแข็งยังไงมันก็กลัว

เพราะธรรมชาติมันสร้างต่อมกลัว มาเพื่อรักษารูปไว้

พระธรรมเทศนา วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2560 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง