****** “สายเลือดแห่งพุทธะควรฟังเกี่ยวกับปาราชิก” ******
อะไรที่คิดว่าข้าพูดผิด ก็ซัดกันเข้ามาเหอะ ข้ายินดีให้ตำหนิ
ว่ากันตรงๆไม่ต้องอ้อมค้อม ธรรมจะได้ไม่ต้องบิดเบือน
ผิดก็ว่ากันไปตามผิด ถูกก็ว่ากันไปตามถูก
โลกตัดสินได้ ไม่ใช่อะไรๆก็กูถูกคนเดียว
พวกบวชพระนี่ชอบเป็นเจ้าของถูกกัน..
มันถูกกันยันเต ขอให้ถากหัวเหอะ เป็นกูถูกแหลก
พระเอา 4 ข้อมาเป็นข้ออ้างในการไม่ได้ปาราชิก
เพราะไม่เข้าใจนักว่าอะไรคือปาราชิก
เรื่องปาราชิกนี่ ความหมายตรงตัวคือ ใจที่มันพ่ายแพ้
พระเราก็เหมาเอา ปาราชิก 4 ข้อเป็นเหตุในการแก้ข้อกล่าวหาตน
มันก็อ้างสารพัด ว่ามันไม่ได้ปาราชิก ไม่ได้ผิดในธรรมวินัย 4 ข้อนั่น
มันพากันไม่รู้ว่า ปาราชิกนี่ มันเป็นเจตนาโดยตรงเกี่ยวกับ
ฆ่า สมสู่ ขโมย และโกหก
นี่..สี่ข้อนี่ ล้วนปาราชิก
ใจที่พ่ายแพ้ กระทำสี่ข้อนี้ขึ้นมาโดยเจตนา ต่อตนเองและผู้อื่นจนต้านทานยาก
นี่เป็นใจที่พ่ายแพ้ เรียกว่าเป็นผู้ปาราชิก
การสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง ซ้ำๆ โดยเจตนา
แล้วเอาปริวาสเป็นเครื่องรองรับความพ่ายแพ่ความเงี่ยนแก่ใจตนเอง
ความเงี่ยนที่เป็นตัณหาผุดขึ้นมาไม่รู้จบ
เจ้าของพ่ายแพ้ต่อกระแสมัน ข่มขืนความใคร่ซ้ำๆซากๆ
นี่ยังจะคิดว่าจะเป็นผู้ชนะอยู่อีกหรือ..
นี่แหละ ใจ มันปาราชิก มันเป็นใจที่พ่ายแพ้
มันสมสู่กับตัณหาด้วยความพ่ายแพ้
แล้วจะไปอ้างว่าแค่สังฆาฑิเสส ไม่ใช่ปาราชิก ธรรมวินัยประกาศอยู่
คิดอย่างนี้แหละไอ้พวกพ่ายแพ้ มันถึงเอาดีอะไรไม่ได้เลย
ห่มฝาดมาเพื่อหาหนทาง ด้วยการเข้าข้างตนเองจากธรรมวินัย
ขโมยโดยเจตนา ไม่ต้องมีมูลค่าอะไร มันก็ถือเป็นใจแพ้พ่ายต่อตัณหา
พุทธะนี่ เอาเจตนาเป็นที่ตั้ง
เขาจับเราข่มขืน โดยที่เราไม่ได้สมยอม เช่นนี้ยังไม่เรียกว่า ปาราชิกเลย
เจตนาเป็นกรรม ไม่ใช่พระธรรมวินัยเป็นข้อๆมาเป็นตัวกรรม
กรรมที่เกิดจากเจตนาที่กระทำซ้ำๆซากๆ นั่นเป็นใจที่ปาราชิกพึงรู้ไว้
มันเป็นใจที่พ่ายแพ้ต่อการเกิดมรรคผล
คนเราบวชเข้ามาแล้ว ต้องการอะไรเล่า
บวชเพื่อแสวงหามรรคผล หรือบวชเพื่อเลี้ยงดูสังขารตน
การบวช ใครจะบวชมาต้องการอะไรมันก็เรื่องของแต่ละคน
แต่ที่ข้ากล่าวถึงนี่ เป็นการบวชเพื่อแสวงหามรรคผลให้เกิดขึ้นแก่ใจตน
ได้มากน้อยก็ว่ากันไปตามภูมิวาสนา
การจัดปริวาสนี่ เป็นการเปิดโอกาศให้ผู้บวชได้มีโอกาศแสดงความผิดพลาด เพื่อเป็นการแก้ตัว
แต่หลายท่านเข้าใจผิด คิดว่าเป็นกิจของสงฆ์ทั้งหลาย
มันเป็นกิจของสงฆ์ที่ต้องอาบัติหนักแล้วเกิดความหม่อนหมองจิตน่ะ
มันเผลอใจพ่ายกระแสไปหน่อย กำลังใจมันยังน้อย ความละอายมันมีไม่มากพอ
มีความประสงค์จะขอบวชต่อ เพื่อแสวงหามรรคผล
แต่ใจดันไปแพ้พ่ายตัณหาที่ผุดขึ้นมาด้วยเหตุปัจจัยปรุงแต่งซะนี่
ท่านจึงให้โอกาศแก้ตัว
การแก้ตัวก็เปิดโอกาศให้ประกาศเปิดเผยความผิด
ว่าจะไม่ทำอย่างนั้น ว่าจะไม่ทำอย่างนี้ ด้วยกาย วาจา ใจ ต่อท่านเถระทั้งหลาย
แล้วก็อยู่ชดใช้กรรมดูแลใจไป เมื่อแน่ใจก็ไปขอคำยืนยันจากผู้ทรงคุณ ว่าขอบวชต่อ
วัดไหนจะจัดกี่ครั้งก็ได้ ไม่เกี่ยวกับผู้ทำผิดซ้ำซาก
เป็นแต่ผู้ต้องอาบัติซ้ำซากนั่นแหละ มันไม่รู้
ว่าความซ้ำซากของมันน่ะ คือความพ่ายแพ้แห่งใจ
มันเป็นใจที่ปาราชิก มันไม่รู้ว่ามันเป็นเจ้าของใจที่ปาราชิก
ชาตินี้ทั้งชาติ มันเข้าถึงปัญญาแห่งมรรคผลใดๆไม่ได้
ตัณหามันมาบดบังความจริงด้วยกระแสที่ใจมันจมลงไป
ว่ายไต่ขึ้นมาเกาะขอบฝั่งไม่เจอ แต่เจ้าของมันไม่รู้ตัว
มันอ้างตำราในมนต์พิธีของหลวงตาเอี่ยมยันเต เพราะแกพิมพ์เอาไว้
บวช..ถ้าใจไม่ตั้งมั่น มันก็หลอกลวง
ตั้งมั่นแต่ขาดศีลธรรมตามพระธรรมวินัย มันก็ลวงใจตนเอง
มีศีลตามพระธรรมวินัย แต่ขาดความตั้งมั่นในสมาธิ มันก็เป็นไม้หลักปักขี้เลน
มีศีลมีสมาธิแต่ขาดการวินิจฉัยตามความเป็นจริง มันก็เป็นหัวตอบื้อๆที่ขาดปัญญา
มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา แต่ขาดผู้ชี้ผู้อบรมยอมรับใครไม่ได้
มันก็จอมอัตตาที่ไม่ต่างกับควายที่เล็งแต่แดกหญ้าว่ากูคือคนดี
จริงๆข้าก็เล่าเพื่อให้พระน้องๆที่เขานับถือข้านี่แหละฟัง
หากอยากเป็นพระดี น่าไหว้น่ากราบ น่าทำบุญกุศลด้วย
เราพึงเข้มแข็ง ปฏิญานตนให้สมเป็นศากบุตรแห่งองค์พระชิโนรสเจ้า
ชาตินี้ การบวชเราจะได้ไม่เป็นหมัน
จะได้ภูมิใจที่อยู่ในเพศย้อมฝาดนี้
บวชมาเป็นเจ้าตำแหน่ง บวชมาแสวงหาลาภยศเพื่อตนเอง
มันจะเปลืองข้าวสุกศรัทธาของชาวบ้าน
ความเป็นอยู่มันก็ไม่ต่างกับโจรในเพศคราบบรรพชิตภิกษุ
ท่านอื่น ข้าไม่ได้ไปใส่ใจอะไรหรอก มันเรื่องของท่าน
ใครจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของพวกท่าน
ถ้าคิดว่าถูกแล้วดีแล้ว ก็ทำกันไปเถิด
ข้าจะสร้างสายเลือดใหม่ให้เป็นหน่อแห่งพุทธะตรงๆ
ไม่ต้องอ้อมค้อมต่อธรรมที่ดูเหมือนบิดเบือน เท่านั้นเอง
ไม่ใช่ว่าการกระทำตามๆกันมาจะบิดเบือน
แต่ดูแล้วมันเหมือนเด็กน้อยเล่นขายของ
แต่ละอย่างที่ทำๆกัน ไม่ค่อยตรงกับความเป็นจริงอะไรเลย
พุทธะเป็นเรื่องของปัญญา
ทุกคนมีสิทธิที่จะแสดงความเห็น เพื่อออกจากความงมงาย
ผิดถูกก็แย้งๆกันไป
พุทธะเคารพความเป็นจริงที่ตรงๆ ไม่ต้อมอ้อมโลกอะไรมากนัก
พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 27 มกราคม 2560 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง
