ธุดงค์เข้าสู่ความเป็นอริยะ (ท่อน 1)

ธุดงค์เข้าสู่ความเป็นอริยะ (ท่อน 1)

352
0
แบ่งปัน

***** “ธุดงค์เข้าสู่ความเป็นอริยะ (ท่อน 1)” *****

ยามเช้า ณ.อุณหภูมิ 3-4 c°…

หวัดดี..หายไปบนดอยไม่ได้คุยกันหลายวัน ตอนนี้อยู่เชียงใหม่ มาคุยอะไรกันหน่อย

ข้าได้เดินเข้าป่าทางต้นน้ำบนดอยสะงะ เป็นการเดินตามรอย ที่พระราชินีท่านเคยมาประทับที่นี่

ที่นี่เป็นป่าดิบเขาสูง มีต้นไม้ใหญ่ๆ เหล่านกไพรร้องประสานเสียงเจื้อยแจ้วทั้งป่า

หัวหน้าอุทยานท่านอภิรักษ์เป็นผู้นำทางเข้าไปสู่ป่าใหญ่ อันเป็นป่าต้นน้ำของเมืองไทย

เราเดินเข้าไปกันหลายชีวิต อากาศยามเช้านั้นเย็นเยือกราวหอกน้ำแข็งแทงกาย ธรรมชาติโดยรอบเป็นป่ารกทึบ

ต้นสนสูงๆเคล้าไอหมอกขาวลอยอ้อยอิ่ง แสงแดดยามเช้าลอดผ่านช่องใบไม้มองดูเป็นลำละอองควัน

เมื่อปี 2543 พระราชินีท่านได้มาประทับ ณ.ที่ป่าแถบนี้ พระองค์ท่านก็เดินเข้ามาแบบเรานี้

ต้นไม้ใหญ่ๆ สูงตระหง่านเสียดฟ้า เป็นต้นน้ำที่สำคัญรวมหยาดน้ำ ไหลลงไปสู่แม่น้ำสายต่างๆ

ธรรมชาติของข้านี่ เป็นสัตว์ป่า พอเข้าเขตป่าทึบ จิตมันก็จะรวมของมันเองโดยธรรมชาติ

หากย้อนนึกถึงตอนที่ข้าเข้าป่ายุคแรกๆ อารมณ์มันก็เจริญของมันเช่นนี้ คือว่างจากสรรพสิ่ง

ในป่านั้นมีร่องทางเดินที่ค่อนข้างรกชัฏอยู่ เถาวัลย์ต้นไม้ขึ้นเนืองนองหนาแน่น

แต่ละก้าวย่าง มันเพ่งอยู่แต่กายที่กำลังเดินกำลังก้าวเท่านั้น ไม่ได้ส่งออกไปไหน

ข้านั้นไม่ได้ใส่รองเท้าเมื่อออกจากสถานที่ บนเส้นทางบนทางเดินในป่านั้น มันมีเปลือกลูกกอ ที่เปลือกมันเป็นหนามห่อหุ้ม

เปลือกมันนี่ หากเหยียบเข้าไป หนามมันก็จะตำเท้าและหักอยู่ภายในเนื้อ หนองก็จะอมแผลและระบมเท้า

แต่หนามเหล่านี้ ข้าก็ย่ำมันลงไปอย่างนั้นแหละ ถ้ามัวกลัวและเดินย่อง มันก็จะตำเท้า และใจมันแหยง

แต่หากไม่กลัว ไม่สนใจมัน เท้าเปลือยๆที่ย่ำลงไป หนามมันกลับไม่ทิ่มแทง

โดยธรรมชาติเมื่อเข้าป่า จิตข้าจะวางอยู่แต่พื้นทางเดินไม่เกินสามก้าว มันรู้อยู่แค่นี้ มันไม่ได้สนใจอะไรรอบตัวนัก

ต้นไม้ ใบหญ้า ดอกไม้ เหล่าสัตว์อะไรต่างๆ จิตมันไม่ได้ออกไปสนใจ

มันสนใจอยู่แต่กับกาย และหนทางที่ย่างเดินไปเท่านั้น

เมื่อมาเดินเข้าป่าที่นี่ใจข้าก็หวลนึกถึงตอนที่ข้าเข้าป่าเดินธุดงค์ บรรยากาศมันให้อารมณ์

การเข้าป่านี่ เป็นธุดงค์อย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญญาทางเจโตวิมุติขึ้นมาได้ในขณะที่เราเดิน

พระส่วนใหญ่นี่ไม่เข้าใจการเข้าป่าเพื่อถือธุดงค์

การเข้าป่าเพื่อถือธุดงค์นี่ มันไม่มีจุดหมาย ไม่ใช่ว่าจะไปที่นั่นที่นี่ ที่ใจตนเองนั้นต้องการ

การถือจุดหมายมันเป็นการเดินทาง ไม่ได้เป็นการถือธุดงค์ การถือจุดหมาย มันทำให้เรานี่หลง

การถือธุดงค์นี่ มันไม่มีหลง เพราะมันเดินด้วยสติที่ไม่ได้ถือจุดหมายอะไรใดๆ

ขอให้มันเป็นป่าเหอะ อย่าได้พบเจอผู้คน เราใช้ป่าเพื่อย่ำเดินและปฏิบัติตน เดิน นอน ยืน นั่ง เพื่อฝึกสติสัมปชัญญะ ให้มันแน่นหนารู้ตัวทั่วพร้อม

การฝึกธุดงค์นี่ เป็นการเข้าป่าเพื่อไปหาปัญญา ปัญญามันซ่อนอยู่ในกายเรานี่

การธุดงค์มันมีคุณและองค์ประกอบที่จะสอดส่งมองลงไปให้เห็นตัวปัญญาได้

เราเข้าป่านี่ สิ่งแรกเลยที่ต้องคิดก็คือ เราไปเพื่อตาย ในป่านั้นไม่มีอะไรที่น่ารื่นรมณ์สำหรับนักปฏิบัติหรอก

เพราะเราไม่ได้มาเที่ยวป่า การมาเที่ยวป่า ไม่ได้เป็นการเรียกว่าธุดงค์อะไรเลย มันเป็นแค่การมาพักผ่อนแลกเปลี่ยนสถานที่ ที่ตนเคยอยู่เท่านั้น

พระธุดงค์ที่เราเข้าใจกัน มักคิดแค่ว่าการได้มาเดินป่า นอนอยู่ในป่านี่เป็นการเข้าธุดงค์ เรียกว่าพระธุดงค์

มีพระเช่นนี้มากมายไปทางป่าทุ่งใหญ่นเรศวร พากันเดินเข้าไปในป่าทางนั้น เป็นการฝึกธุดงค์

ไปกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ พกเป้ พกเต้นท์ พกอาหารแห้ง ไฟฉาย โทรศัพท์ มาม่า กาต้มน้ำบางทีมีเครื่องสนามเที่ยวป่า

นี่ไม่ใช่เป็นการธุดงค์ นี่เป็นการมาเที่ยวป่ามาพักมาค้างแรมในป่าในถ้ำ เพื่อถ่ายภาพเอาไปอวดแควนๆ เพื่อหาลาภสักการะและสรรเสริญ

การธุดงค์นั้น มีคุณต่อผู้เข้าธุดงค์มาก หากมีผู้ชี้แนะการเข้าสู่ธุดงค์

การธุดงค์ที่สำคัญกับใจเราได้ ครูบาอาจารย์ที่ทรงคุณท่านจะขยายและอธิบายการอยู่ธุดงค์ได้

ธรรมจากการเข้าสู่ธุดงค์นี่มีมากมาย แต่การจะเข้าสู่ธุดงค์ได้นั้น หัวใจและการบ่มเพาะทางธรรม มันต้องมี

พวกบ้าตำรา นั่งอ่านแต่คำภีร์ อาศัยความเป็นมหาเปรียญนั่นนี่ การเข้าใจในความเป็นธุดงค์นั้นอธิบายออกมาไม่ถูกหรอก

ชีวิตที่ไม่เคยธุดงค์ ไม่เคยอบรมใจตนเพื่อแสวงหาความหลุดพ้น มันก็เป็นธรรมที่มีความรู้อย่างงูๆปลาๆ

ความรู้อย่างงูๆปลาๆ บวชมาการเข้าถึงความหมายแห่งธุดงค์ย่อมไม่มี

ข้าจะชี้แนวทางแห่งการธุดงค์ ว่ามีร่องทางอย่างไร จึงจะทำให้ใจดวงนี้เกิดเจโตวิมุติขึ้นมาได้

มีพระหลายท่านได้ถามข้ามามากมายเหลือเกิน ท่านเหล่านี้ต่างถือธุดงค์ แต่ไม่รู้ว่า การธุดงค์ มีคุณอย่างไร และวางใจเช่นไร จึงจะถึงความเป็นอริยชน

ป่าทางเหนือของสยามเรานี่ เหมาะกับการเดินธุดงค์ โดยเฉพาะป่าดิบชื้นภูเขาทางบ้านแม่สะงะ อ. แม่แจ่มใกล้ดอยอินทนนท์นี่

ที่นี่เป็นป่ารกทึบ อากาศหนาวเย็นเหมาะต่อการบำเพ็ญภาวนา ยามเงียบนี่ มันเงียบซะจนได้ยินลมในหู

การเข้าป่าเพื่อเข้าธุดงค์เป็นการหวังผลสูงสุดแห่งปัญญาที่จะเกิดญาน เราเข้าไป เอาแต่ตัว จีวร บาตรใส่ย่าม เข้าไปก็พอ

เอาเข้าไปแค่นี้พอแล้ว เครื่องบริขารนอกทิ้งไป เอาแต่บริขารในคือใจที่มันแสวงหาความเป็นพระให้เกิดกับใจดวงนี้

กำลังใจน้อย พกนั่นพกนี่เข้าไปเยอะๆ ญานมันไม่เกิด ญานมันเกิดยาก เครื่องกังวลใจมันจะมีมาก

ข้านี่เข้าป่าไปหลายๆอาทิตย์ มีแต่ไตรจีวร บาตรใส่ย่าม เปลือยเท้า มีเพียงแค่นี้ และเข้าป่าในลักษณะนี้ทุกครั้ง ก็ไม่เห็นจะตาย

การเข้าป่าเพื่อไปทำกรรมฐาน มันเป็นการทำสงครามใจที่ยิ่งใหญ่ เราตั้งใจไปตาย ไม่ได้ไปนอนเล่นในป่าในดงอย่างใครเขาเป็นกัน

อาหารก็ล่อใบไม้ใบหญ้านี่แหละ เห็ดยอดไม้กล้วยป่าอะไรก็กินได้ กินเพื่อยังอัตภาพให้อยู่เท่านั้น

นอนตรงไหนก็ได้ เราเข้าป่ามาเพื่อแสวงหาโมกธรรม ไม่ได้มาเบียดเบียนใคร ใจเช่นนี้ จะเป็นผี เป็นสัตว์อะไรมันก็ไม่กลัวเกรงกันล่ะ

พระหลายองค์ยังชักว่าวอยู่เลย แต่เสือกอยากออกธุดงค์ พวกนี้เป็นแค่พวกอยากมาเที่ยวป่า

ไม่ได้เป็นพวกบวชมาเพื่อแสวงหาสัจธรรมอะไรกับใครเขาหรอก ยังเป็นพวกไร้ครูบาอาจารย์อบรมใจ

ใจที่ยังบริสุทธิไม่พอ อย่าเลยอย่าไปธุดงค์ มันเสียเวลาและทำให้เพื่อนร่วมธุดงค์เขาลำบากใจในความอ่อนแอ

ข้านี่แค่พาเดินป่าหน่อยเดียวมันก็บ่นกันชิบหาย มันกลัวตาย นู่น นั่น นี่ ปัญหาเยอะ

การบวชเข้ามาเมื่อมีครูบาอาจารย์ มีความพร้อมทางใจ มีศีลบริสุทธิที่เจ้าของมั่นใจ ได้อบรมใจมาอย่างเพียงพอในสิ่งที่ต้องเผชิญ

เราพึงไปคนเดียว อยู่คนเดียว แสวงหาโมกธรรมด้วยใจผู้เดียว ที่สำคัญ…พึงพร้อมที่จะตายอย่างชาตินักรบ..!!

เดี๋ยวไปคุยกันอีกตอน..

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 16 มกราคม 2560 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง