ทิฏฐิแม้เป็นผีมันก็ขวางบุญ

ทิฏฐิแม้เป็นผีมันก็ขวางบุญ

714
0
แบ่งปัน

******* “ทิฏฐิแม้เป็นผีมันก็ขวางบุญ” *****

หวัดดี…

ขอให้ร่ำรวย

ข้านั่งฟังเสียงสวดมนตร์ไพเราะ ท่ามกลางป่าเขา

พระเรา น่านอบน้อม สวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็นด้วยความขยัน

เหล่าเทวา สาธุคุณ เทวาปกป้องและดูแลคุ้มครอง

ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน ข้าเคยไปพักที่วัดแห่งหนึ่ง

ทาง อ.สรร ที่ชัยนาท

มีชีเทืองศิษย์แม่ใหญ่สาธิตาเป็นผู้นำไป

ที่นั้นวังเวง น่ากลัว ไม่มีพระอยู่นัยว่า ผีดุ

มีพระประธานและศาลาสวดมนต์ เขาเอาข้าไปปล่อยไว้ที่นั้น

ข้าเองเพิ่งบวชไม่นาน เพิ่งลงมาจากเขา

ที่นั้น ยิ่งตอนเย็นยิ่งน่ากลัว วังเวงชวนปรุงแต่งให้วิ่งกันน้ำบาน

ยุงแมลงนี่เยอะ จึงกางกลดป้องกันยุง ยุงเยอะมาก

ข้านั่งบริกรรมบทมนต์ในกลดนั่นแหละ

รอบข้างเป็นป่า มีต้นไทรครื้ม

ความเงียบสร้างความน่ากลัวให้แก่จิตใจ แต่บนเขาที่ข้าอยู่ มันน่ากลัวกว่า

ราวสามทุ่มข้าก็เข้าสมาธิ

เพราะเหตุและปัจจัยรอบข้างทำให้จิตเกิดการรวมตัวและออกไปรู้เห็น

ความสว่างแห่งภายในมันโพลนจ้าขึ้นมา

ข้าก็ได้เจอเปรตสามตัว นั่งยองๆอยู่หน้าศาลา

ข้าแผ่เมตตาออกไป เพราะนี่มันคงเป็นเขตหวงของเขา

พวกเขาก็อยู่กันนิ่งๆ ไม่ได้ต้องการผลบุญอะไร นั่งมองอยู่เงียบๆ

ข้าจึงถามว่า ต้องการอะไร ข้าไม่ได้มารบกวนอะไรนะ หากมีอะไรต่อกันก็ขอขมากรรม

เพราะบทมนต์ที่สวดนี่ อาจมีบางบทมันไปรบกวนวิบากจิตเขา

มันเคยปรากฏมาแล้ว ที่วัดโพธิโกลน สมัยที่อยู่พรรษาแรกตอนสวดไล่เสนียญเพราะผีท่านอั๋นขอร้อง

บทมนต์ที่สวดผิดที่ผิดทาง ผี่เจ้าที่เขาอาจเดือดร้อน จึงได้ขอขมาออกไป

เปรตตัวหนึ่งย่อตัวลงมาคุยกะข้า บอกว่า เขาเคยเป็นพระอยู่ที่นี่

ส่วนอีกสองตัวนั้น เป็นมัคทายกวัดรุ่นต่อๆมา

ตัวที่คุยกะข้านั้น เป็นพระ

เขาบอกว่า เขาเป็นพระอยู่ที่นี่ เป็นพระนานแก่พรรษา

ข้าถามว่า เป็นพระแล้วทำไมถึงได้มาเกิดเป็นเปรต

เขาบอกว่า สมัยเขาเป็นพระ เขาไม่ค่อยได้สวดมนตร์

เป็นแค่พระอยู่กินศรัทธาของชาวบ้าน

เขาก็ว่า เขาเป็นพระดีนะ ผิดข้อศีลบ้างเล็กน้อย ไม่ได้เจตนาอะไร

ไม่เป็นพระปาราชิกเหมือนพระรุ่นหลังที่ไปลงนรกกัน

ความแก่พรรษา ไม่ได้ช่วยให้เขาไปสู่สุคติได้

เขาบอกว่า…

ที่เขาเสวยชาติเป็นเปรต เป็นเพราะไม่มีใครชี้แนะการปฏิบัติที่ถูกต้อง

เขาอยู่แบบชาวบ้าน ที่แค่เข้ามาบวชอาศัยผ้าเหลืองเลี้ยงชีพ

ตลอดชีวิตพระหลังห้าพรรษาไปแล้ว

เขาไม่เดินจงกรม นั่งสมาธิแบบที่ข้าทำอยู่แบบนี้

เพราะเห็นว่า ทำแล้วตั้งหลายปี ก็ไม่เห็นได้อะไร

เขาบอกว่า เขาคิดผิด

การเจริญสมาธิและเดินจงกรม จะทำให้จิตมีแสงสว่าง เกิดปัญญาและสมาธิ

แต่ตอนนั้นเขามองไม่เห็นตรงนี้ นั่งไปก็ฟุ้งซ่าน

เดินจงกรมก็เดินไปงั้นๆให้โยมชมหาลาภสักการะกันไป ให้ดูว่าเป็นผู้เคร่ง

หลังจากห้าพรรษาก็เลิก

แต่เที่ยวสั่งสอนชี้แนะให้คนทำแทน

ตัวเองนั้น ทำไม่ได้ ขี้เกียจ และไม่เป็นสมาธิ จึงไม่เห็นความสำคัญ

อยู่เป็นพระเลี้ยงชีพไป ก็ไม่ผิดศีลอะไรมากนัก
แค่เป็นคนบวชอยู่วัด

ไปบิณฑบาตรหาตังค์จากการสวดงานต่างๆ และนอนฟังวิทยุ

รอเงินบริจาคศรัทธาของชาวบ้าน ที่มาทำบุญ

เขาตายตอนเป็นพระแก่แล้ว ตายก็หวลกลับมาสู่ความเป็นเปรต

ที่เป็นเปรตเพราะอาศัยศรัทธาจากชาวบ้านเลี้ยงชีพ

แต่ไม่มีคุณธรรมอะไร รับส่วนบุญจากใครก็ไม่ได้
มันติดวิบากทิฏฐิความเป็นพระ

ความเป็นพระมากพรรษา มันทำให้เกิดภาวะวิบากทิฏฐิ

เขาต้านมันไม่ได้

ส่วนบุญที่ข้าแผ่ออกไป เขาสัมผัสได้ แต่รับไม่ได้
มันติดทิฏฐิ

ญาติโยมมาทำบุญก็รับไม่ได้ มันติดวิบากทิฏฐิ

ไม่รู้ว่า เขาจะต้องรับกรรมเช่นนี้ ไปอีกนานเท่าไหร่

ข้าจึงบอกเขาไปว่า

ท่านเห็นความสว่างแห่งจิตของข้าไหม

เขาบอกว่าเห็นชัด

เพราะเหตุนี้ เขาจึงได้เข้ามาหา

แต่น่าเสียดาย ที่ข้านั้นน้อยพรรษา ทำให้การแผ่เมตตาที่เขาต้องการ มันไม่มีผลกับจิตเขา

ข้าบอกว่า ท่านนั้นเข้าใจผิด

ความเข้าใจผิดเป็นทิฏฐิตัวหนึ่งในใจท่าน

ท่านเอาพรรษาของท่าน มาเป็นคอกกั้นในการเปิดรับบุญกุศล

ท่านบวชพระมานาน พรรษาแก่จัด เพราะความยึดพรรษาที่แก่จัด

ท่านจึงเต็มไปด้วยบันทึกแห่งทิฏฐิพระ มานะกษัตริย์

ไม่ยอมรับอะไรที่ดูเหมือนจะด้อยกว่าความเป็นพระนานพรรษาของท่าน

ใจที่ยึดพรรษา เพราะความมากพรรษา เป็นตัวหล่อเลี้ยงศรัทธาของผู้คนที่มีต่อท่าน

เหล่าพระน้อยพรรษาต้องนอบน้อมต่อความมากพรรษาของท่าน ทำให้ท่านยึดและภูมิใจในพรรษาที่ท่านเป็นอยู่

ท่านนั้นมากพรรษา แต่คุณธรรมแห่งพรรษาของท่านนั้น ไม่มี

ท่านเป็นเสมือนเด็กน้อยในร่างของชายแก่ชราที่มากพรรษาเท่านั้น

อันตัวเรานี้ ท่านดูว่ามีพรรษาน้อย

ใจท่านจึงไม่ยอมรับในความน้อยพรรษา

แล้วไฉนท่านจึงบอกกับเราว่า

แสงสว่างแห่งจิตเราสว่างไสวเหลือเกินเล่า

พรรษาน้อย ทำไมความสว่างแห่งจิตจึงเรืองรองกว่า ท่านไม่เฉลียวใจหรือ

เปรตพระนิ่งและนั่งฟังอย่างสงบ

ข้าจึงบอกไปว่า

ท่านลองย้อนดูอดีตที่เราเป็นมาก่อนในอัตภาพแห่งสังขารนี้

ระลึกออกมาให้ได้ ว่า อันตัวเรานี้ เป็นใครมาจากไหนเคยเป็นอะไรกับท่าน

การที่ท่านมาเจอเราได้ เป็นธรรมดาของผู้ที่ต้องเคยมีสัญญาต่อกันใช่ไหม

ที่นี่ เราเดินทางมา มันก็ต้องด้วยเหตุแห่งวิบาก

การได้มาพบเจอ มันก็ด้วยเหตุแห่งวิบาก

ท่านอยูในสภาพจิตที่เสวยวิบากย่อมง่ายต่อการระลึกเหตุ ว่าเราเคยผูกพันกันมาเช่นไร

เปรตพระเอ่ยวจีออกมาคำหนึ่งว่า พระอาจารย์..!!

แล้วเขาก็ก้มลงกราบ นั่งคร่ำครวญและโน้มไปถึงอดีต

เขาระลึกได้ ว่าข้าเคยเป็นพระอาจารย์เขา ทิฏฐิแห่งความมากพรรษา จึงถดถอยคลายน้อยลงไปด้วยสติสัญญาระลึก

เมื่อเปรตพระมีใจน้อมลงมาสู่ความเป็นศิษย์ด้วยความที่เขาระลึกและจำได้ในอดีต

ทิฏฐิแห่งวิบากความเป็นพระมากพรรษาก็คลายตัวลง

ข้าบอกให้เขาระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย

ระลึกถึงคุณที่ได้มาบวชในพระพุทธศาสนา

ระลึกแต่ความดีงามและปิติคุณ ที่ได้บวชเข้ามา

เพราะทุกคนที่บวช ย่อมเกิดปิติคุณในการบวชทุกคน

และมันก็โดนบันทึกอยู่ในภวังค์จิต เป็นแต่เพียง

กาลแห่งการครองเพศบรรพชิต

มันย้อมเวลาแห่งการกระทำเลวๆ ทับถมลงไปจนหนาเตอะ ก็แค่นั้น

เมื่อเปรตพระคลายทิฏฐิและได้เจริญคุณแห่งพระรัตนตรัย

เขาก้มลงกราบอย่างสวยงามจากใจ
และพึมพำออกมาว่า

พระอาจารย์ๆๆ

เขาจำได้ ว่าข้าเคยเป็นพระอาจารย์ของเขา

แต่ข้านี่ จำไม่ได้และไม่รู้เรื่องว่าเคยเป็นพระอาจารย์ของเขา

ราวเที่ยงคืน จิตข้าก็ถอนออกมาจากสมาธิ

รอบข้างนี่ มืดสนิท ข้านั่งอยู่ในกลด ไม่กล้านอน
กลัวว่า นอนเมื่อใหร่ เดี๋ยวผีจะมากระตุกขา

เลยกลายเป็นว่า

คืนนั้น..

หลังจากออกจากสมาธิ ที่ได้พบเจอผีเปรตพระ

ข้าก็นั่งเรื่อยไปยันเช้า

นี่..ที่นั่งยันเช้าไม่ล้มตัวนอนก็เพราะว่าข้านี่ กลัวผี..

คืนนี้หวัดดี พระเขาสวดมนตร์เสร็จพอดี

คนที่ยึดทิฏฐินี่ ก็เหมือนกับคนยึดว่ากูเจ๋งน่ะ มันจึงไม่ฟังใคร

ดีที่มันระลึกได้ ว่าเคยเดินตามตูดข้า

แต่ข้านี่ รู้แค่ว่า อะไรที่ได้มาพบเจอกัน ย่อมมีสัญญาต่อกัน

ข้าจำได้ว่า เจ้าเขาที่เขามะกูด บอกว่า ข้านี่ เคยบวชมามากกว่า พันห้าร้อยชาติ

การได้เจอพวกนี้ ก็ย่อมแสดงว่า เราต้องเคยเจอกันในสภาพนักบวช

ข้าแค่คาดหวังว่า ให้เขารู้ว่า ในอดีต ข้าก็มีพรรษามาเยอะแล้วเหมือนกัน ก็แค่นั้น

แต่พอดี มันดันเคยเป็นศิษย์

นี่…กุศลของเขาคลายตัวพอดี เราจึงได้มาพบกัน

และเขาก็พ้นไปจากภพภูมิได้ เพราะอกุศลมันคลายตัว

ความเป็นเปรตก็เกิดจากจิตดวงนี้นี่แหละมันปรุงแต่ง

เมื่อการปรุงแต่งคลาย กุศลต่างๆมันก็เข้ามาแทนที่ได้

นี่..เมื่อทิฏฐิสลาย

ความคลายแห่งอกุศลมันก็เลยพึงเกิด

เรื่องเช่นนี้ คนเรามันเข้าใจยาก

ข้าก็แค่ นำเอามาเล่าสู่ให้กันฟัง

โอเคนะ

พระธรรมเทศนา วันที่ 6 ตุลาคม 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง