นั่งสมาธิแล้วเกิดอาการต่างๆ ท่อน 5

นั่งสมาธิแล้วเกิดอาการต่างๆ ท่อน 5

279
0
แบ่งปัน

****** “นั่งสมาธิแล้วเกิดอาการต่างๆ ท่อน 5” ****

หวัดดีเช้าวันศุกร์..

เมื่อวานได้คุยถึงอาการด่าแม่สิ่งที่เรานอบน้อมนับถือ รูสึกว่าจะโดนต่อมจี๊ดของใครหลายคน

อาการด่าในใจนี่ เป็นกันทุกคนนั่นแหละ ไม่เกี่ยวกับจะนั่งสมาธิหรือไม่นั่งสมาธิ

เพียงแต่ผู้ที่ทำสมาธิ มันจะเห็นชัดและคิดไม่ถึงว่า เราจะเป็น

คนที่ไม่มีกำลัง เวลามันด่ามันปรามาสไปแล้ว หากถูกใจมันก็ไหลไปกับคำด่าเลย ร่วมผสมลงโรงไปกะการปรุง

คนมีกำลัง มันก็จะเกิดการต้าน พยายามข่มตนเองไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้

ความละอายใจในตน กลัวครูบาอาจารย์รู้ มันก็เลยเกิด

หลายคนเข้าใกล้ข้า กลัวข้ารู้ความคิด จึงพยายามเบี่ยงเบนคำด่าหรือความคิดที่ตนคิดว่า จัญไรชาติชั่ว ด้วยการบริกรรมแทน

บริกรรมมันข่มได้ก็ด้วยการมองพื้นหรอก พอสบตาโช๊วะ มันก็ข่มบริกรรมด่าแม่เข้าให้อีก

หรือคิดลามกจกเปรตอะไรใดๆกับใคร มันก็คิดเรื่อยไปของมันอย่างนั้น ห้ามไม่ได้

ยิ่งเป็นสมาธิยิ่งเห็นชัด ยิ่งข่ม มันก็ยิ่งเป็น บางคนหายหน้าหายตาไปเลย

สงสัยกลัวข้ากระโดดถีบหน้า ข้าไม่กระโดดถีบหรอกขาข้าไม่ดี ข้ามีปืน..

สมัยโน้นสมัยที่เป็นฆราวาสข้าก็เป็น และเป็นหนักซะด้วย เพราะสันดานข้ามันหยาบช้า

เกิดมาก็ไม่เคยเป็นกะเขาหรอก หลังจากฝึกสมาธิอยู่พักใหญ่ มีอยู่วันหนึ่ง

ข้าได้พาครอบครัวไปกราบพระมงคลบพิตร ที่อยุธยานู่น เป็นพระองค์ใหญ่

เดินเข้าไปด้วยความนอบน้อมก้มลงกราบ

พอเงยหน้าแหงนมองพระพักต์ที่สวยงามนั้น ความคิดในใจก็พุ่งพรวดออกมาว่า ” ไอ้หัวควย “..!!

เห้ย… ตกใจ !! ทำไมเราจึงโพล่งความคิดเช่นนี้ออกมา

จากนั้น มันก็รัวถี่ยิบเป็นปืนกลเลย ไอ้ควยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ …ตายๆๆๆนี่กูเป็นอะไร..!!

ข้ารีบลุกขึ้นวิ่งออกมาหายใจมองออกไปยังพระปรางเบื้องหน้า สงสัยตัวเอง

นี่..กูเป็นอะไร ทำไมไปด่าพระพุทธรูป พอหันกลับไป มันก็ด่าแม่พระอึก

โอ้..ตายๆๆๆ บาปกรรมๆๆ ต้องรีบก้มหน้ามองพื้น พาครอบครัวกลับออกมา

แต่ว่าคราวนี้ มันเป็นเรื่องเลย เห็นพระพุทธรูปที่ไหน คำด่าแม่ภายใน มันผุดขึ้นมาเมื่อนั้น

แม้แต่ห้องพระที่บ้าน ที่เคยกราบเคยสวดมนต์มานาน คราวนี้ไม่ต้องเหยียบเข้าไปเลย

มันด่าแม่แบบระงับไม่ได้ ตั้งแต่พระประธานยันพระเครื่อง

นี่..ข้าก็ไม่เข้าใจ ที่อยู่ๆ มันก็เป็นขึ้นมา รึว่า…เกิดจากที่เรานั่งสมาธิมากไป

แต่สมาธิเกี่ยวอะไรด้วยวะ กับคำด่าที่ผุดขึ้นมาไม่หยุด

ข้าแก้ยังไงก็ไม่หาย พอนานวัน มันชักจะลามไปถึงครูบาอาจารย์ ในหลวง และสิ่งศักดิ์สิทธิอะไรก็ตามที่ผู้คนนอบน้อม และข้าก็นอบน้อม

ข้านี่แทบจะเลิกเข้าวัด เข้าหาครูบาอาจารย์ ถ้าไม่รู้สึกนอบน้อมนี่ ไม่เป็นไร

แต่ถ้ารู้สึกนอบน้อมหรือให้ความสำคัญเมื่อใหร่ ภายในมันผุดขึ้นมาด่าแหลก

นี่..ไม่น่าเชื่อว่าเป็นของมันได้..

วันหนึ่ง หลวงพ่อโรจน์ท่านเรียกหาให้เข้าไปหา เพราะหลายเดือนแล้วที่ไม่เข้าไปถามไถ่เรื่องสมาธิกับท่าน

ชิบหายเลยอุตสาห์หลบ กูต้องด่าหลวงพ่อป่นปี้แน่ ยิ่งทราบมาอยู่ด้วยว่า ท่านน่ะรู้วาระจิตรู้ความคิดของผู้อื่น

ข้านี่ฝึกสมาธิให้มันแน่บแน่น เพราะสมาธิที่มันแนบแน่น มันข่มเวทนาเหล่านี้ได้

วันนั้นพอคลานเข้าไปหาหลวงพ่อ ข้าก็กำหนดคำบริกรรมถี่ยิบเลย

ไม่ให้ความคิดมันผุดออกมาได้ ข้าอยู่กับคำบริกรรมว่า สัมมาพระอรหังๆๆๆๆๆๆๆๆ

มันก็พอจะได้ผลอยู่ เพราะคลานเข้าไปกราบแล้วเงยหน้ามอง ไม่มีคำด่าผุดออกมาให้เจ้าของให้ได้อายหลวงพ่อ

หลวงพ่อยิ้มและลูบหัว ถามว่า พักนี้เป็นไรหือ..ถึงไม่มาหา..!!

ทำท่าจะตอบคำถาม แค่นั้นแหละ มันหลุดจากคำบริกรรมผุดขึ้นมาตอบแทนในใจเลยว่า

ไอ้เหี้ยยย..ไอ้โล้นหัวควย ไอ้แก่งี่เง่า ไอ้จัญไรหลอกแดก ไอ้ซ่นตีน ไอ้กระโปกหมา..ฯลฯ

สบตาหลวงพ่อยิ้มแหะๆ เอ่ยบอกว่า คุมไม่อยู่คร๊าบบหลวงพ่อ..!!

หลวงพ่อพยักหน้า ยิ้มไม่ว่าอะไร ส่วนข้านี่คอยหลบฉากหากตีนปลิวมา หลวงพ่อแก่แล้วคงไม่ได้แอ้มง่ายๆ

ทำไงดี..หลวงพ่อ ทำไงดี มันรัวเป็นชุดเลย..

หลวงพ่อจ้องหน้า บอกว่า สงสัยกรรมฐานแตก

จึงเป่าหัวให้ข้าสองสามพรวด แต่ยิ่งเป่า มันก็ยิ่งด่า เป่าที มันก็ด่าไอ้เย๊ดแม่ที

ข้าเป็นเช่นนี้อยู่ราวๆ สองปี แก้ไม่ได้เลย

จนมาวันหนึ่ง ข้านั่งกรรมฐานอยู่ที่วิหารร้าง ได้มีน้องๆที่เรียนอภิธรรมมาถกธรรมกัน

ข้าได้คุยถึงเรื่องจิต และลามมาถึงสิ่งที่ข้าเป็น มันมีน้องผูหญิงคนหนึ่งได้กล่าวประโยคบางประโยคขึ้นมาว่า

ถ้าเป็นหนู หนูไม่ฝืนมันหรอก ให้มันด่าซะให้พอ เพราะทุกสิ่ง เกิดแล้วก็ดับเป็นธรรมดา..!!

นี่..ประโยคนี้แหละ เมื่อข้าเข้ากรรมฐานแล้วสอดส่งลงไปพิจารณา มันเกิดวาบขึ้นมาในหัวใจว่า

เออ..วิธีนี้น่าจะใช่และใช้ได้ เพราะนี่เราฝืนมาสองปีแล้วที่ยอมรับมันไม่ได้ เราคอยแต่จะหลีกเลี่ยง

และมันก็เป็นเสี้ยนหนามแทงใจเราตลอดเวลา เมื่อมีการเผชิญ

เราใช้วิธีหลบ เราไม่กล้าที่จะเผชิญเพื่อค้นหาความจริงในสิ่งที่เป็น

เมื่อได้ความแยบคายในจิต รุ่งขึ้นข้าก็ไปวัดพนัญเชิง ไปนั่งมองหน้าพระพุทธองค์ใหญ่

ปรากฏว่า พอเรารู้เท่าทันเช่นนี้ คำหยาบๆและการด่าทอที่เคยเป็น มันเบาบางลงจนเรารู้สึกได้

เป็นเราซะอีก ที่คอยกำกับมันว่าด่าอีกซิมึง ด่าอีก กูจะนั่งดูนั่งฟังมึงด่า

มึงอยากลงนรก มึงก็ด่าไป แต่กูไม่สนใจหรอก กูจะอยู่ดูมึง

เออ..มันได้ผลน่ะ มันเบาบางลง แม้ไม่หายไปเลยทีเดียว

วันนั้นข้าเลยตระเวนไปแทบทุกที่ ปรากฏว่า ใจมันด่าน้อยลง

ที่สุดข้าก็ตัดสินใจเข้าหาหลวงพ่อโรจน์ อยากไปบอกหลวงพ่อว่า

ข้าน่ะค้นพบวิธีจัดการกะมันได้แล้ว

พอไปถึงกุฏิหลวงพ่อ คำแรกที่เห็นหน้า มันก็ผุดขึ้นมาทักทายหลวงพ่อว่า ไอ้หัวควย..

แต่ข้าไม่หลบ บอกมึงด่าอีกซิ แล้วมันก็ปล่อยออกมาเป็นชุดๆ รัวเป็นข้าวตอกแตก

แต่ข้าก็ไม่สน คุยนั่นนี่นู่น นวดหลวงพ่อไป หัวเราะกันหนุกหนานเฮฮา ไม่ได้สนใจมัน

ปรากฏว่า มันหยุดด่าไปเมื่อใหร่ก็ไม่รู้

นับแต่นั้นมา ข้าก็หลุดจากความเป็นทาสของมัน มันอยากผุดก็ผุดไป ไม่เป็นไร เอาตามสบาย

ทุกวันนี้จึงไม่ได้ทุกข์ใจกับสิ่งเหล่านี้ ที่มันมีและมันเป็น

แต่ธรรมชาติเช่นนี้ ทำให้ข้าเข้าถึงธรรมแห่งความเป็นจริง ที่เราเข้าใจได้ยากยิ่ง

นั่นก็คือ ความคิดเลวทรามต่ำช้า มันก็มีของมันเป็นธรรมดา เพราะมันมีสัญญาที่มันเคยเป็นและทำหน้าที่ของมันอย่างตรงไปตรงมา

ไม่ว่าท่านผู้นั้น จะเข้าถึงธรรม เป็นอริยะบุคคลหรือปุถุชนธรรมดาผู้มีกิเลสหนา

สิ่งเหล่านี้ มันก็มีก็ผุดออกมาเป็นธรรมดา ไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย

เพราะเรา…เป็นสัตว์มนุษย์ผู้เกิดแก่เจ็บตาย ที่ไม่ได้มีใครวิเศษวิโสอะไรกว่ากัน

ต่างกันเพียงแค่ว่า ผู้เข้าถึงธรรม มีปัญญารู้เห็นตรงตามความเป็นจริง

แต่ปุถุชน ยังมืดมนในหนทางที่จะมองเห็นความเป็นจริงในสรรพสิ่งที่มันมี

โอเค…ขอสาธุคุณให้มีแต่ความสุขความเจริญด้วยกันทุกคน…หวัดดี..!!

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 16 กันยายน 2559 โดยพระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง