มีชีวิต หมั่นสร้างทานและอบรมจิต

มีชีวิต หมั่นสร้างทานและอบรมจิต

319
0
แบ่งปัน

****** “มีชีวิต หมั่นสร้างทานและอบรมจิต” *******

ขอสาธุคุณให้มีแต่ความสุขความเจริญ…

เราลองมองออกไปเบื้องหน้าซิ…

ตอบตัวเองซิ ว่าเรามองเห็นอะไร..

เรามองไปทางไหน เราก็ตอบได้เสมอในสิ่งที่เห็น

ตอบแล้วก็หลับตาซะ

และเราลองมองออกไปเบื้องหน้าอีกทีซิ

มองอย่างธรรมดา ไม่มีคำถามหรือใส่ใจว่ามันคืออะไร

เราจะเห็นชัดว่า..

อะไรและใดๆในสิ่งที่เรามองเห็น

เรามองไม่เห็นอะไร และให้ค่าอะไร แม้แต่สมมุติอะไรๆ ลงไปในสิ่งที่เห็นเลย

มันเห็นอย่างเมินเฉย เห็นอย่างไม่รู้จักมัน เห็นอย่างเลื่อนลอย เห็นอย่างไม่สะดุ้งสะเทือนอะไรใดๆ ในสิ่งที่เห็น

นี่แหละๆๆๆ…!!

เรียกว่า ธรรมชาติแห่งจิต…!!

จิตมีธรรมชาติไม่ปรุงแต่งอะไร

ตัวปรุงแต่งเรียกว่า ใจ…

ใจมันปรุงแต่งโดยอาศัย ผัสสะ..!!

ธรรมชาติของเหล่าวิญญาณก็เหมือนกัน

เมื่อรูปสลายไป เขาก็อยู่กับภวังค์แห่งความทรงจำ ที่เหมือนเรามองออกไปเบื้องหน้าอย่างไร้อัตตาอะไรใดๆ

แต่เมื่อไหร่ที่เกิดผัสสะ อะไรใดๆ ที่มองไปยังเบื้องหน้า

มันจะเกิดอาการ อัตตาแห่งตัวกูเข้าไปเป็นเจ้าของทันที

เจ้าของแห่งอัตตาผัสสะนี้ เรียกว่า ใจ..!!

ใจ..มีสภาพปรุงแต่งไปตามผัสสะ

เหล่าวิญญาณที่ได้อาศัยรูปเป็นเครื่องมือ

เมื่อมีเครื่องมือในการรับรู้ ก็ย่อมมี อายตนะ

อายตนะนี้ อาศัยช่องต่อที่เรียกว่า ตา หู ลิ้น ฯ ผัสสะเข้าไปปรุง

การปรุงนี้ เรียกว่า เจตสิก

เจตสิก อาศัยการปรุงแต่งจากนามขันธ์ที่อาศัยรูป

เพราะเหตุแห่งการปรุงแต่งที่เรียกว่า เจตสิก

วิญญาณทั้งหลายที่มีอายตนะทางรูปที่ตนครองจึงเกิดเวทนาที่ตนยึดมั่นเป็นสัญญาออกมา

นี่..เสียงร่ำไห้ คร่ำครวญ โหยหวลแห่งความเศร้าสร้อย ที่ต้องมาพรากจากกัน

ทั้งที่เคยพรากจากมาแต่อดีต

ทั้งที่กำลังพรากในปัจจุบัน

และพรากจากกันโดยไม่มีเหลือระหว่างกันในอนาคต มันหวลกลับมาผัสสะ

พวกเขาแค่มาแสดงธรรมให้ผู้อยู่ได้เล็งเห็นความทุกข์ยาก จากการพรากจาก

ความทุกข์ยากจากสิ่งที่มีแล้วขาดหาย

ความทุกข์ยากที่เจ็บปวดกับการพลัดพรากแม้ไม่มีกาย

ความทุกข์ยากที่แม้ไร้เรือนกาย ก็ยังแสนทรมาน..!!

นี่..พวกเหล่าวิญญานที่ได้ผ่านร่างพวกเราบางท่าน ที่พยายามเข้ามาหาข้า มีสภาวะเช่นนี้

เมื่อมีร่างให้ใช้ การแสดงออกแห่งผัสสะที่มีในภวังค์ มันก็แสดงตน

ความทุกข์โศกเศร้าเสียใจในอัตตาการยึด มันไม่ได้จางคลายมะลายหายไปพร้อมร่าง ที่สลายไปเลย

พวกเราที่ยังมีชีวิต พึงสำเหนียกใจไว้เถิด

การเกิดแก่เจ็บตาย มันหวลมาถึงเราเสมอ

วันที่ได้ประสบและพบเจอ

จะได้ไม่เพ้อ คร่ำครวญอย่างเจียนเป็นเจียนตาย

เรายังโชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่

ได้ต่อสู้ ได้พิจารณา ทำอะไรได้ดั่งใจหมาย

วันหนึ่ง เราสูญสิ้นรูปนี้ไป ไร้เรือนกาย

ใจสลายคิดไม่ได้ เพราะไร้กายมาเป็นเรือน

ยามมีชีวิต หมั่นอุทิศเวลาอบรมจิต

อย่าไปคิดหัดว่ายเมื่อเรือแตก

ใจที่ไร้อบรมยามมีชีวิต ย่อมจมหายในกระแส ยามชีวิตแหลก

จิตไม่อาจแหวกความทุกข์เศร้า ที่เฝ้าโถม

ข้านี่เห็นหลากหลายดวงวิญญาณ ที่มาร่ำร้องแทบเท้านี้มากมายเหลือหลาย

พวกเขาไร้กายที่จะมีสติมาขบคิดปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญาเช่นเราได้

พวกเรายังมีชีวิต ที่มีกำลัง มีความพร้อมในการที่จะเดินแหวกออกมาจากทุกข์ทั้งหลายได้

อย่าให้กาลเวลา มันกลืนกินใจดวงนี้ จมหายไปกับกาล เกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างไร้ความหมายเลย

หมั่นทำบุญหมั่นทำทานไว้เป็นเครื่องเกาะ

ไร้ที่เกาะแห่งทาน มันจะทุกข์ยากนานไปไหนไม่ได้

มีหลายวิญญาณที่ท่านไม่ได้เศร้าโศก เพราะได้สร้างทานปัญญาเอาไว้

พวกเขาก็เคยมาสาธุโมทนาด้วยหัวใจที่ยิ้มแย้ม ไม่ได้โศกเศร้าเหมือนวิญญาณ ที่แสนโศกเศร้า ยามเมื่อเจ้าพบข้าเลย

นี่..เราเอาผลเช่นนี้ มาอบรมใจตน

เราหมั่นฝึกใจตนให้มองเห็นตามความเป็นจริง

เมื่อเกิด ก็ย่อม เจ็บ แก่ ดับ ไปตามธรรมดาแห่งความเป็นจริง

ไม่มีใคร เกิดมาแล้วจะไม่เผชิญความจริงข้อนี้ เราอย่าได้ฝืนความเป็นจริง ที่มันจะเกิดขึ้นกับเรากันอีกเลย

รักษากายใจของเจ้าตัวให้ดี ข้านี้ จะไปรอที่แสงแห่งปลายอุโมงค์..

ขอสาธุคุณยามเที่ยง

>> คำถาม : เสียดาย ครั้งที่ผ่านมาไปพบไม่ได้ เพราะติดขัดเรื่องเวลาเดินทาง รบกวนเรียนถามท่าน ธรรมกะ บุญญพลัง ครับ

เมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้ไปรักษาพระครูบาทางเหนือท่านหนึ่ง ระหว่างนวดรักษา มีความรู้สึกว่า ต้องมีการรำรักษาให้ด้วย

แต่บอกท่านอื่นไป ท่านว่าอย่าทำดีกว่า เพราะมันเหมือนการรักษาแบบผีฟ้า แต่ตัวเองรู้สึกแบบนั้นจริงๆ

เลยอยากถามว่า ความรำลึกถึงการรำรักษานี่ เป็นแบบเดียวกับที่น้องๆ ที่รำถวายหรือเปล่าครับ

โดยเฉพาะตอนฟังพระสวด (พอดีมีงานเสาร์ห้า) ในหัวนี่เห็นท่ารำแว๊บๆ เลยครับ เพียงแต่พอเห็น ก็มอง รู้ แล้วก็ผ่านไป เท่านั้นน่ะครับ

<< พระอาจารย์ : รำคงไม่เกี่ยวกับการรักษาอะไร

แต่หากเคยบนบานเอาไว้ อาจต้องมีการแก้บน

เรื่องบนบานนี่ ดูเป็นเรื่องงมงาย

แต่กับใจที่ยึดกับความงมงาย มันย่อมมีผลไปตามกำลังแห่งการบน

เราต่างมีธรรมชาติแห่งการยึดสมมุติกันทั้งนั้น

ตราบใดที่ยังอยู่ในสมมุติ อย่าไปโม้และไปคิดเลย

ว่าตนนั้น ไม่เอาสมมุติ

นี่..เป็นการเอาที่ไม่เอาสมมุติ

เอาความเป็นตนไปเป็นเจ้าของแห่งการไม่เอา

ตราบใดที่ยังมีเจ้าของ

ตราบนั้น เจ้าของก็ยังเป็นจอมอัตตา ที่ดีแต่โม้ว่า ไม่ได้ยึดและไม่ได้เอาสมมุติ ที่มันมีไม่จริง เพราะเหตุแห่งตนยัดเยียดลงไป

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 21 กรกฎาคม 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง