ปราชญ์แห่งเซนผู้ว่างเปล่า

ปราชญ์แห่งเซนผู้ว่างเปล่า

267
0
แบ่งปัน

****** “ปราชญ์แห่งเซนผู้ว่างเปล่า” *****

>> พระมหาเหรียญชัย ::- ไม่มีต้นโพธิ์ ไม่มีเจ้าชาย -::

ไม่มีต้นโพธิ์ ไม่มีแสงเงา ทุกอย่างไม่มี

ความเศร้าหมอง จะเกิดขึ้นแต่ไหน ไม่มีสิ่งใด เกิดขึ้น Not a thing is

ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือ มีขึ้นได้ นอกจากความว่างเปล่า

ที่ต้องทำให้รู้กระจ่าง คือ เห็นสภาวธรรมชาติ ตามแบบธรรมชาติ

โอ–สารีบุตร สรรพสิ่งทั้งปวง ล้วนเป็นลักษณ์ซึ่งเป็น

สิ่งว่างเปล่า ไม่มีการเกิด ไม่มีทำลาย ไม่มีมลทิน

ไม่มีความบริสุทธิ์ ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ

อย่างไรก็ตาม–สารีบุตร

ความว่างเปล่า ไม่ใช่รูป

ไม่ใช่เวทนา ไม่ใช่สัญญา

ไม่ใช่สังขาร ไม่ใช่วิญญาณ

ไม่มีการตรัสรู้ ไม่มีการบรรลุ

เพราะ ไม่มีการตรัสรู้ในใจโพธิสัตว์

ไม่มีความเสื่อม เป็นแดนห่างจากทิฎฐิ

เพราะเป็นที่สุดแห่งนิพพาน

พระพุทธเจ้า ทุกพระองค์ ทั้งอดีต อนาคต

ปัจจุบัน อาศัยอยู่ เป็นสิ่งที่ เหนือการว่างเปล่า

[ท่านอาจารย์ผู้หนึ่งได้กล่าวไว้]

#พระอาจารย์ธรรมกะ กล่าวว่า..

ถ้าไม่มี การชี้ว่าไม่มี มันก็ไม่มีเช่นกัน

นี่ยังคงชี้ว่าไม่มีและว่างเปล่าอยู่ ด้วยการมีผู้ชี้ ว่ามันไม่มีและว่างเปล่า

ฉะนั้น…ใครเป็นผู้ชี้ว่าอะไรๆ ต่างๆ มันก็ไม่มีเล่า

ในเมื่อผู้ชี้ ก็ยังเสือกมีและยังเสือกเห็นในสิ่งที่คิดว่ามัน…ไม่มี

และความว่างเปล่าและไม่มี มันเสือกมีเหตุมาจากผู้ชี้ ที่เป็นผู้ให้นิยาม

เมื่อยังมีผู้ชี้ความว่างเปล่าและให้นิยาม

ความว่างเปล่าจะมีมาแต่หนไหน..!!

มันเป็นตลกนิพพาน

ไขว่คว้าความหมายอะไรไม่ได้เลย

ในเมื่อวลีที่ให้มา มันก็บ่งบอกอยู่แล้วในโศลกที่ว่า

#ที่ต้องทำให้รู้กระจ่าง “คือ เห็นสภาวธรรมชาติ ตามแบบธรรมชาติ”

ธรรมชาตินั้น มันมีเหตุปัจจัยอาศัยกัน

โดยปรมัต มันไม่มีอะไรว่าง เพราะมันมีของมันด้วยเหตุแห่งปัจจัยเกิด

สรรพสิ่งเกิดจากอวิชา

ความหมายแห่งอวิชานี่ มันไม่มีเจ้าของ

อวิชานี่ เป็นชื่อเรียกสรรพสิ่งที่ดำเนินไปตามเหตุและปัจจัย

เหตุของมันคือผัสสะ

เพราะผัสสะเป็นเหตุ อยู่เรียกว่าอวิชา ย่อมเกิดเสมอ..!!

อวิชาเป็นเหตุ ย่อมเกิดการปรุงแต่งเสมอ..!!

นี่…จะพูดว่าว่างเมื่อมันเกิดไปแล้วนี้…ไม่ได้ เพราะอวิชามันมีมาก่อนสังขาร ที่เราเรียกว่าจิต

เป็นแต่ผลของสังขาร คือวิญญาน มันอาศัยผลคือนามรูป ปรุงแต่งโปรแกรมของมัน เป็นสมมุติความหมาย

ย้อนความหมายเหล่านั้น กลับไปสู่ต้นเหตุแห่งที่มาของความหมาย

ว่าสรรพสิ่งทั้งหลาย มีอวิชาเป็นแดนเกิด

นี่..ผู้ทรงภูมิปัญญาแห่งมวลมนุษย์ชาติ ท่านได้ทรงตรัสเอาไว้

แต่…อวิชาไม่ใช่เป็นตัวแห่งความว่างเปล่านี่..!!

#อวิชาก็มีเหตุของมันอยู่เช่นกัน

อะไร…คือเหตุแห่งอวิชา..!!

เรื่องนี้ เป็นเรื่องวิปัสนาญานแห่งยอดปัญญาล้วนๆ ที่จะเข้าไปประจักษ์ชัดแจ้ง

และคงไว้เฉพาะพุทธศาสนาเท่านั้น

เพราะนอกศาสนา เขาก็ใช้คำว่า อวิชาเป็นเหตุแห่งแดนเกิดสรรพสิ่งที่ยังไม่รู้เช่นกัน

ฉะนั้น…!! ว่างนี่ มันเป็นความหมายจากเจ้าของที่ให้นิยามว่าว่าง

ไม่ใช่โลกมันว่าง..!!

ผู้เข้าถึงธรรมแห่งความว่าง นั่นก็หมายความว่า

สรรพสิ่งทั้งหลาย มันว่างไปจากใจ ที่เป็นเครื่องร้อยรัด ด้วยความจริงในโลกสมมุติที่ให้ความหมายว่า มันไม่มี..!!

ที่มี…มันเกิดจากเหตุปัจจัย

ไม่ใช่มีเราหรือตัวกู เข้าไปเป็นเจ้าของเหตุปัจจัยนั้น

เช่น… หนทางเบื้องหน้าเต็มไปด้วยขี้หมา

ขี้หมา..มันมีและกองอยู่เต็มหนทางเบื้องหน้า นี่..เป็นความจริง..!!

ผู้ไร้ปัญญา..ย่อมหลบหลีกขี้หมาด้วยอัตตา ว่ามันเป็นสิ่งสกปรก

และหนทางที่จะเดินไปเบื้องหน้า ผู้ไร้ปัญญา ย่อมเดินด้วยความระวังที่จะเหยียบขี้หมาโดยไม่รู้จบ..ตลอดไป..!!

นี่..ดูเหมือนจะเป็นผู้ทรงปัญญา เพราะเป็นผู้หลบหลีกขี้หมาได้โดยไม่ให้มันมาโดนเจ้าของ

แต่สำหรับ ผู้เข้าถึงธรรมและมีปัญญา

เห็นชัดตามความเป็นจริงว่ามีขี้หมากองอยู่เต็ม ตลอดสายแห่งเส้นทาง

หากหลบหลีกขี้หมา หนทางข้างหน้า ก็ย่อมต้องหลบหลีกไม่รู้จบ

บุรุษผู้ทรงปัญญา ย่อมเลือกที่จะเหยีบขี้หมากองแรก ด้วยความเข้าใจ โดยไม่ใส่ใจ ว่านี่มันคือขี้หมา

กองแรกที่เหยียบย่ำลงไป ด้วยความเข้าใจ

ขี้หมาล้านแปดทั้งหลาย มันก็ไร้ความหมายกับใจ ว่ามันคือขี้หมาที่เหยียบย่ำไม่ได้

ผู้มีปัญญา..ย่อมเดินไปบนหนทางที่เต็มไปด้วยขี้หมา โดยไร้ความเป็นขี้หมา

ขี้หมาที่มันเป็นขี้หมา มันไม่เป็นขี้หมาที่จะมาเปื้อนใจ ให้เขาต้องคอยหลบหลีกอีกเลย

นี่…ผู้มีปัญญา ที่เรียกว่า เป็นผู้ว่างในสิ่งที่มี

ผู้ที่ว่างในสิ่งที่มี ย่อมว่างจากสรรพสิ่งทั้งหลายด้วยเข้าใจในเหตุปัจจัย

ไม่ใช่ว่างเพราไม่มีอะไร

ว่างนี้…ว่างด้วยความหมายแห่งใจ มันว่างเพราะเข้าถึงในสิ่งที่มี..!!

>>>กราบสาธุครับ

<< พระอาจารย์ : นี่ มหาเหรียญกำลังหาตีนมาให้ข้า เอาโศลกภาษา มาเป็นสัจธรรม แล้วให้ข้าหาข้อแย้ง

โศลกต่างๆของปราชญ์ ของผู้แปลความมา จะเป็นเซนเชิงพุทธ หรือพุทธเชิงเซ็น

มันเป็นการเขียนแบบปราชญ์เชิงกวี ที่ไร้การไขว่คว้า

คนอ่านภาษา ก็แค่อ่านไปแบบฉลากยาที่เขาเขียนแปะไว้

ธรรมนั้น เมื่อกล่าว ผู้ตามย่อมเข้าใจ

เราเอาธรรมที่ปราชญ์ท่านคุยกัน ในความหมายที่อาศัยเหตุปัจจัยในธรรม

ที่เล็งเข้าไปหา มาแปลและตีความตามวินิจฉัยของเรา

ที่สำคัญ.. ผู้แปลก็อ่อนด้อยทางภูมิธรรมแห่งสัจธรรมจากใจอีก

มันก็แปลเพ้อพก โดยมองหาฝั่งและไขว่คว้าความจริงไม่เจอ

#พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เมื่ออายุ 35

ล่วงเวลาแห่งการดำรงค์ขันธ์ไปอีก 45 ปี

นี่.. ไอ้ 45 ปีนี่ ใครคือพระพุทธเจ้า รึเป็นเจ้าชายผู้ออกบวช

พระพุทธเจ้า นิพพานได้ก็เมื่อกายแตกสลายรึไง..??

หรือนิพพานได้ตั้งแต่ตอนตรัสรู้..??

นี่..อะไรคือนิพพาน

ในเมื่อ กายไม่เกี่ยวกับจิต

จิตที่นิพพาน มันต้องรอให้กายแตกก่อนรึไง..!!

ทรงตรัสรู้แล้ว นั่นใคร..!! ที่เดินประกาศธรรม

นั่นใคร..!! ที่เซ็งเป็ดกับการทะเลาะของหมู่พระด้วยเรื่องแห่งน้ำล้างตูด

นั่นใคร..!! ที่เจ็บปวดทรมานกับโรคภัยเบียดเบียน

นั่นใคร..!! ที่ทรงประกาศว่าทรงตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า

นั่นใคร..!! ที่ใครๆ บอกว่า อยู่เหนือการว่างเปล่า

#อย่างไรก็ตาม–สารีบุตร

” ความว่างเปล่า ไม่ใช่รูป

ไม่ใช่เวทนา ไม่ใช่สัญญา

ไม่ใช่สังขาร ไม่ใช่วิญญาณ

ไม่มีการตรัสรู้ ไม่มีการบรรลุ

เพราะ ไม่มีการตรัสรู้ในใจโพธิสัตว์

ไม่มีความเสื่อม เป็นแดนห่างจากทิฎฐิ

เพราะเป็นที่สุดแห่งนิพพาน

พระพุทธเจ้า ทุกพระองค์ ทั้งอดีต อนาคต

ปัจจุบัน อาศัยอยู่ เป็นสิ่งที่ เหนือการว่างเปล่า”

นี่…มันเป็นโศลกนิยามของผู้แปล ที่เข้าใจเอา

ความว่างเปล่านั่นแหละ มันคือรูปแห่งความว่างเปล่า ที่เกิดจากสมมุติผู้ให้นิยาม

มันเป็นรูปของความคิด ว่ามันว่างเปล่า..!!

เพราะรูปมี จินตนาการแห่งความว่างเปล่าก็เลยมี

มันมี เพราะอาศัยการปรุงแต่งในความว่างเปล่า ว่ามันว่างเปล่าเช่นนี้ๆๆ เป็นเหตุ

แต่โดยปรมัตถ์แล้ว ไม่มีอะไรว่างเปล่า

ที่ว่างเปล่า มันเกิดจากเจ้าของไปให้นิยามว่ามันไม่มี

มันไม่มี…ด้วยความเป็นเจ้าของ..!!

นิยามแห่งนิพพานนี่ อย่าไปแปลและให้ความหมายเลย มันเป็นสมมุติ

ที่สำคัญ…

พวกแปลนิยามสมมุติ ไม่มีใครรู้จักสมมุติซักคนเดียว..!!

มาคุยเรื่องชักว่าวกันดีกว่า ไขว่คว้าและรู้สึกได้ ท่านว่าไหม..

โอเคนะ

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 21 กรกฎาคม 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง