ความว่างเป็นตัวขวางมรรคผล

ความว่างเป็นตัวขวางมรรคผล

377
0
แบ่งปัน

***** “ความว่างเป็นตัวขวางมรรคผล” *****

สมัยหนึ่ง ตัวข้าเองนี่ มีกำลังสมาธิสูง

เพราะความหนาแน่นแห่งกำลังจิต มันทำให้ตัดอารมณ์ต่างๆ โดยฉับพลัน

รูปที่ผัสสะ ทาง ตา หู ลิ้น ฯ และอารมณ์ มันตัดด้วยตัวมันเองอย่างอัตโนมัติ

มันดูเหมือน เราอยู่กับความว่างที่สักแต่ว่าในสรรพสิ่ง ที่มันมาผัสสะ

เมื่อรูปมันก่อขึ้น มันก็จะดับและเข้าไปทำลายทันที ด้วยวิปัสสนาญาณ

เกิดอยาก มันก็ดับ เกิดมานะ มันก็ดับ เกิดทิฏฐิ มันก็ดับ

มันดับทันทีเมื่อเกิดอาการก่อ..

ข้าเข้าใจว่า นี่คือการอยู่ด้วยสังขารที่พ้นแล้ว ทุกอย่างมันเลยกลายเป็นว่า

มีก็สักแต่ว่ามี ไม่มีก็สักแต่ว่าไม่มี มันมองทุกอย่าง ด้วยความว่างจากสิ่งที่มันมี

นี่…เป็นอำนาจแห่งสมาธิ..!!

อาการนี้ เป็นตัวหลงอย่างหนึ่ง มันเป็นอุปกิเลสตัวเอ้ ที่ขวางมรรผล ขวางปัญญาธรรม ที่จะก้าวขึ้นไปสู่ความหลุดพ้นขั้นปัญญา

เพราะความที่ดับไปจากรูปที่ก่ออย่างรวดเร็ว อารมณ์อยากและตัณหาต่างๆ มันก็ดูเหมือนว่า มันไม่เกิด

ที่ดูว่ามันไม่เกิด เพราะเราไม่รู้ว่า มันเกิดอยู่เสมอ แต่มันโดนดับ

มันดับด้วยอำนาจแห่งญานสมาธิ..

นี่..ตรงนี้ นักปฏิบัติทั้งหลาย มองไม่เห็น สมาธินี่ มันดับเวทนา

มีครูบาอาจารย์หลายท่าน มาตันอยู่แค่ตรงนี้ แล้วมั่นใจว่า ตนเองคงถึงที่สุดแห่งเพศพรหมจรรย์

ตรงนี้นี่..มันเป็นกำลังจิตขั้นสมาธิ มันเป็นกำลังแห่งฌาน

มีสัมปชัญญะที่รู้ตัวและต่อเนื่อง รูปที่ก่อทั้งหลาย มันจึงดับไปด้วยความเชี่ยวหลายแห่งกำลัง ที่มันมีสัมปชัญญะ

แต่นี่แหละ…มันเป็นภาวะ ที่ยังขาดปัญญา

เจ้าของไม่มีวันรู้ และจะจมดิ่งกับอาการเช่นนี้ ไปจนกายแตกดับ

นี่..ก็จะโง่ไปอีกหนึ่งชาติ..!!

อาการเช่นนี้ ข้าหลงวนอยู่กับมันราวห้าปี

ข้าเข้าใจว่านี่ เป็นธรรมชาติของจิต เข้าใจว่าจิตนี่มันเข้าไปดับการปรุงของมันด้วยความเป็นธรรมดา

แต่สิ่งที่ข้าไม่รู้ก็คือ ข้าเข้าไปเป็นเจ้าของธรรมชาติที่มันแสดง นี่..ตรงนี้สำคัญ

ตลอดเวลาห้าปี ที่มันผัสสะแล้วดับ มันดับแม้แต่อาการปิติในสมาธิ

ปิติ สุข เอกคตารมณ์ มันก็ดับ ดูว่า ใจเราไม่ปรุงแต่งอะไรทั้งสิ้น

มันดับเข้าไปสู่ความเป็น อัปนาสมาธิ

สมาธิที่เป็นอัปนานี่ มันดับหมด แม้สติสัญญาก็ไม่มีเหลือ

วันหนึ่ง ข้าก็เกิดปัญญารู้ว่า

การดับทั้งหลายนี่ ที่เข้าใจว่าเราว่างจากตัณหาแล้วนี่

แท้จริงมันยังไม่ว่าง..

ที่ดูว่าว่าง มันเป็นอาการดับไปจากสิ่งที่มันมีที่มันก่อ จากอารมณ์เท่านั้น

มันดับ..ดูเหมือนไม่มีเหลืออะไรให้เป็นกิเลส

แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ในการดับ เราไม่รู้ว่า มันก่ออยู่ตลอดเวลา

และเรา..ก็เสือกเข้าไปดับอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน

นี่…เรารู้ว่ามันดับ แต่เราไม่รู้ว่า ที่มันดับ มันเกิดจากการก่อเป็นเหตุ

และก่อนี้ มันก็ก่อโดยไม่รู้จบ

ที่เรามองไม่เห็นอาการก่อ

นี่ก็เพราะ มันดับการก่อด้วยอำนาจแห่งสมาธิ ที่เกิดดับๆๆๆอย่างรวดเร็ว

เราพอใจและยึดกับการดับแห่งรูป จนไม่ได้เฉลี่ยวใจเลยว่า

รูปทั้งหลาย มันเกิดการก่อตัวอยู่ตลอดเวลา

ตราบใดที่ยังมีสังขาร การก่อ มันก็ทำหน้าที่โดยธรรมชาติของมันเป็นธรรมดา

มีแต่ไอ้บ้าอย่างข้านี่แหละ ที่ไปเสือกดับมันด้วยอัตตา ที่เข้าใจว่า

การดับทำให้ใจดวงนี้ว่างจากกิเลสทั้งปวง

เช่นนี้…ตลอดห้าปี ข้าก็เลยกลายเป็นแมวตะครุบหนู ด้วยความเป็นแมวตัวใหญ่ที่แข็งแรง

มันไม่รู้ว่า เป็นแค่แมวที่แข็งแรง คอยตะครุบหนู อยู่ที่รูประตูทางเข้าออก

หนูออกมาปุ๊บ แมวตะครุบปั๊บ น่าน…หนูจอดสนิท ไม่มีหนูให้วิ่งเพ่นพ่าน

แต่แมวไม่รู้ว่า เจ้าแมวมันต้องคอยตะครุบเช่นนี้ ไปตลอดชีวิตด้วยความโง่ และลำพอง ในการเป็นแมวผู้ตะครุบหนูได้อยู่ตลอดเวลา

แมวอย่างกู ไม่เคยรู้ลึกลงไปเลยว่า

เจ้าหนูที่ออกจากรูมามากนักหนาและมีมาเรื่อยนั้น มันมีเหตุเกิดจากอะไร

เจ้าแมวมันไม่เคยไปตะครุบตรงเหตุ

เจ้าแมวมันคอยแต่ตะครุบตรงผล คือหนูที่มันแสดงตัวออกมาจากรู

นี่…กว่าจะรู้ว่าเป็นแมวคอยตะครุบหนู

ข้าก็บ้าอยู่กับการดับทุกสิ่งด้วยความงี่เง่ามากว่า ห้าปี

คนที่คิดว่ามึงเก่งๆทั้งหลาย เคยเป็นแมวคอยตะครุบหนูกันบ้างไหม

นี่..ว่าถึงผู้ที่ปฏิบัติอย่างจริงจัง และ คาดหวังความหลุดพ้น

จะเห็นว่า ความโง่นี่ มันไม่ปราณีใคร ถ้าหัวใจมันเข้าไปเป็นเจ้าของทุกอาการ

บางพวกบ้าความว่าง และว่างแบบไม่ใช่แมวตะครุบหนู

มันว่างแบบ หนูจะออกมาหรือไม่ออกมา กูก็ไม่หืออือ

เพราะกูว่าง กูไม่ทำอะไรทั้งนั้น เอาความว่างเป็นสรณะแบบพวกเดียร์ถีย์ ที่เห็นว่า

การกระทำใดๆ เป็นการเพิ่มวิบากกรรมให้เกิดกับใจเจ้าของ กูเลยไม่ทำ

นี่…การว่างเช่นนี้ มันเป็นการว่างแบบเข้าข้างกิเลส ว่างด้วยความโง่

ว่างโดยไม่รู้เหตุแห่งการเกิดกำเนิดหนูที่วิ่งเข้าออกในรู

ว่างแบบตัวกู ที่หยุดทุกอย่างโดยไม่รู้ว่า

ไอ้ตัวกูน่ะ มันไม่เคยว่างจากตัวกูที่เป็นเจ้าของตัวกู

ที่สำคัญ มันไม่รู้ซะด้วยว่า ตราบใดที่ยังมีสังขาร

จิตมันก็ย่อมปรุงเป็นธรรมดา ไม่ว่า มึงจะมีตัวกูหรือไม่มีตัวกูในความเป็นเจ้าของก็ตาม

การปรุงแห่งสังขาร มันต้องเอาปัญญาเข้าไปเจือจางด้วยความรู้แจ้ง

ไม่ใช่เอาความว่างเข้าไปแช่แข็งมันไว้ โดยไม่หืออืออะไร ด้วยความงี่เง่า..!!

พระธรรมเทศนา วันที่ 1 กรกฎาคม 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง