เชื่อด้วยความจำนน กับเชื่ออย่างมีปัญญา ผลแตกต่างกัน

เชื่อด้วยความจำนน กับเชื่ออย่างมีปัญญา ผลแตกต่างกัน

282
0
แบ่งปัน

****** “เชื่อด้วยความจำนน กับเชื่ออย่างมีปัญญา ผลแตกต่างกัน” ****

ขอสาธุคุณยามเที่ยง

ในโลกของเราใบนี้ ที่มีศาสนาเกิดขึ้นมาได้นี่ มันเกิดจากความเชื่อและความจำนน ต่อสิ่งที่อธิบายไม่ได้

มันเชื่อแล้วอธิบายไม่ได้ นี่ก็ทำให้เกิดลัทธิเกิดศาสนาขึ้นมา

การจำนนต่อสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ นี่ก็ทำให้เกิดลัทธิขึ้นมา

การประสบพบเจอในสิ่งต่างๆกับใจตนเอง นี่ก็ทำให้เกิดกลุ่มก้อนแห่งลัทธิขึ้นมา

ในประเทศอินเดีย มีลัทธิต่างๆมากกว่า 800 ลัทธิ

แต่ละลัทธิ เขาก็มีผู้ประสพกับใจเขาในสิ่งที่แสวงหาคำตอบไม่ได้กันทั้งนั้น

และเพราะความจำนนต่อสิ่งที่พากันประจักษ์ใจประจักษ์ตานี่แหละ

เมื่ออธิบายไม่ได้ มันจึงยัดเยียดลงไป ว่าเป็นปาฏิหาริย์อันเกิดจากพระผู้เป็นเจ้าบันดาล

ลัทธินับถือเทพ มันจึงเกิดไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ชาติตะวันตก

อะไรที่อธิบายไม่ได้ สุดกำลังเกินกว่าเราจะต้านทาน เราก็ยัดเยียดลงในโกดังแห่งพระผู้เป็นเจ้า เป็นผู้บันดาล

นี่..ศาสนาต่างๆจึงเกิดขึ้นมา เพราะความเชื่อที่หนักมาทางศรัทธาเป็นเหตุ

พุทธศาสนานี่ มันก็อยู่ในเงื่อนไขนี้นี่แหละ

เพียงแต่คำว่าพุทธ มันเป็นความหมายของผู้มีปัญญา

พูดง่ายๆว่า สรรพสิ่งที่มีที่เป็นที่จำนนที่ประจักษ์

มันต้องได้รับการพิสูจน์สอดส่งลงไปถึงเหตุถึงผล เราจึงถึงพอจะเชื่อได้ และไม่ใช่ไม่เชื่อ

ไม่ใช่ว่าพอพูดถึงความเป็นพุทธแล้ว สิ่งนอกเหนือไปจากที่เขาแปลๆกันออกมา

กูไม่เอา กูไม่ทำ เพราะกูมีความเห็นของกูอย่างนี้

นี่..มันก็มีความเห็นที่โต่ง อับเฉาเบาปัญญาไม่ต่างจากศาสนาอื่นที่เจ้าของปรามาสเขานั่นแหละ

เราเกิดมาบนโลกใบนี้ มันมีทั้งสสารและพลังงาน

ทั้งสองสิ่งนี่ มันก็มีของมันอย่างนั้นนั่นแหละ ใช่ว่าไม่มี

เพราะความมีนี่แหละ มันทำให้เกิดความจำนนต่อสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยความอับเฉาเบาปัญญา

ลัทธิเทพเทวา มันจึงผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ทั้งๆที่เทพเทวาเหล่านั้น ไม่มีใครได้เคยเข้าไปเห็นเลย แต่เราก็พากันเชื่อ

สิ่งที่อยู่บนโลกใบนี้ มันก็มีอะไรลึกลับที่เราเข้าไม่ถึง นี่เป็นธรรมดา

พุทธศาสนา เป็นเรื่องของการชี้ให้เกิดปัญญา

ว่าสรรพสิ่งทั้งหลาย มันก็มีของมันอย่างนี้

ทุกสิ่งมันอาศัยเหตุปัจจัยเกิด

มันไม่ได้เกิดเพราะการดลบันดาลจากใครหน้าไหนทั้งนั้น

เมื่อเข้าใจเช่นนี้ เราก็มีที่ยืนอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างไม่เอนเอียง

จะมีพระผู้เป็นเจ้าหรือไม่มีพระผู้เป็นเจ้า

เรา..ก็ต้องตอกไข่ทอดไข่กินเองด้วยตัวเราวันยังค่ำนั่นแหละ

อย่าพึงหวังอ้อนวอน ให้พระผู้เป็นเจ้ามาบันดาลไข่ทอด ให้เราได้แดกเลย

นี่เป็นความจริง

เรา..ยอมรับความจริงกันไหม

น้องๆที่นี่หลายต่อหลายคน

เป็นคนรุ่นไหม่ไฟแรง ไม่เชื่ออะไรง่ายๆกันอยู่แล้ว

แต่ละคนก็เป็นนักเรียนทุน ระดับเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของเมืองไทย

น้องๆเหล่านี้ ไม่เชื่ออะไรหรอก ในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้

ถึงเชื่อ ก็เป็นความเชื่ออย่างแคลงใจ หาเหตุหาผลไม่เจอ

เมื่อเป็นผู้ดู มันก็ย่อมสงสัย นี่เป็นธรรมดา

แต่เมื่อตนเองต้องแสดงบ้างล่ะ…!!

ความแปลกใจว่าทำไมตัวเรามันถึงต้องเป็นแบบนี้ มันก็จะยิ่งสงสัย

มันสงสัยเพราะหาคำตอบคำอธิบายไม่ได้

ทำไมต้องร้องไห้ ทำไมบังคับตัวเราไม่ได้ ทำไมอยากทำอย่างนั้นอยากทำอย่างนี้

นี่..ตัวเรารึเปล่า ทำไมตัวเราจึงบังคับไม่ให้เกิดไม่ให้เป็นไม่ได้

นี่..อย่างนี้ เมื่อเกิดกับตัวเราไปเป็นผู้แสดงเข้า

เราเองก็ไปไม่เป็นเช่นกัน หากไม่มีผู้ชี้ที่แจ้ง สอดส่งทางลงมาให้ว่ามันเป็นอะไร และมันคืออะไร ในอาการที่เราเป็น

หากผู้ชี้ไม่แจ้ง มันก็จะพากันงมงายไปทั้งหมู่คณะ

มันจะสร้างเทพกันขึ้นมา เพื่อหาที่มาของผู้ที่มันบันดาลให้มันเป็น

เทพนั่นเทพนี่ ที่มันเกิดมา จริงๆแล้วเป็นพลังงานที่เรียกว่า ผีทั้งนั้น

เรานี่แหละ ยัดเยียดและแต่งตั้งเทพต่างๆกันขึ้นมาเอง

เพราะเหตุแห่งความไม่รู้ เมื่อได้ประจักษ์ใจและหาหนทางคำตอบไม่ได้นี่แหละเป็นเหตุ

ลัทธินับถือเทพและผีต่างๆ มันจึงได้เกิดกำเนิดขึ้นมา

เมื่อเกิดขึ้นมา การบวงสรวงเพื่อน้อมสักการะ มันก็เลยมี

เมื่อมี มันก็อยู่ที่ว่า เราใช้ปัญญากับสิ่งที่มีพอดีกับศรัทธาที่มีหรือเปล่า

หากศรัทธาจัด มันก็งมงาย นี่ก็โง่ด้วยความศรัทธาเป็นเหตุ

หากปัญญามากจัด มันก็สงสัยอยู่นั่นแหละ นี่ก็โง่ด้วยความมีปัญญามากไปเป็นเหตุ

พุทธศาสนา ชี้ให้เห็นทั้งสองฟาก

ทุกอย่างมันอยู่ที่เราเลือก ไม่ใช่อยู่ที่เราเป็น

ผู้ฉลาด ย่อมมีที่ยืนบนโลกที่ตนเข้าใจโลก อย่างไม่เดือดร้อนใจ..!!

พระธรรมเทศนา วันศุกร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยพระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง