ธรรมชาติของธาตุรู้

ธรรมชาติของธาตุรู้

680
0
แบ่งปัน

****** ” ธรรมชาติของธาตุรู้ “******

พูดถึงธาตุรู้ ….

ใจนี่ไม่ใช่ธาตุรู้ อย่างต้นไม้นี่ มันไม่มีใจ

มันปรุงแต่งแบบไม่มีวิญญาณแบบวิถีวิญญาณ

ต้นไม้นี่ เป็นวิญญาณบอด เราเรียกงี้ก็ได้

เพราะความที่เป็นวิญญาณบอด มันจึงไม่มีใจ อย่างเราๆ ที่ต่างเป็นวิถีวิญญาณ

แต่ต้นไม้ มันมีธาตรู้ เพียงแต่มันปรุงแต่งโดยไม่มีวิญญาณ

ต้นไม้มันแสวงหาอาหาร มันแสวงหาแสงสว่างเพื่อปรุงอาหาร

มันหลบเลื้อยสิ่งที่กีดขวางมันได้ มันป้องกันตัวเองได้ ด้วยธรรมชาติการปรุงแต่งของมัน

นี่..มันปรุงแต่งด้วยอำนาจของธาตุรู้ ที่เป็นเหตุปัจจัยดึงดูดธาตุทั้งสี่ มารวมตัวกันเป็นรูป ที่เรียกว่า.. พืช

พืชนี่ เป็นธรรมชาติแห่ง ชีวะ เป็นพีชนิยามอย่างหนึ่ง ที่ธาตุรู้ปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัย แห่งการผัสสะ

ตรงนี้ เราจึงแยกแยะย่อยออกมาได้อย่างชัดเจนว่า…

ใจ ไม่ใช่ธาตุรู้ ใจนี่ มันเป็นอีกสถานะหนึ่ง ที่เกิดการปรุงแต่งขึ้นมาโดยธาตุรู้

ที่ผ่านอวิชชา จิต วิญญาณ นามรูป ใจจึงจะมีที่อาศัยยืนอยู่ได้

เมื่อหมดนามรูป คือนามรูปสลายไปตามเหตุปัจจัย

ใจที่อาศัย ก็สลายตามหายไปด้วย ตามกฏแห่งอิทัปปัจจยตา

เหลือแต่เพียงวิญญาณ ที่ล่องท่องเที่ยวไปตามวัฏฏะ

เพื่อรอผลวิบากสร้างนามรูปขึ้นมาใหม่

เมื่อมีนามรูป ใจก็จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นยามรักษารูปให้

และตัวกู ก็เป็นอาการหนึ่งของใจ ที่ปรุงแต่งออกมายามผัสสะทางอายตนะ ที่เกิดจากนามรูป เป็นเวทนา

เวทนาทั้งหลาย ทางตา หู ลิ้น ฯ

เป็นอาการปรุงแต่งที่สำเร็จไปจากใจ ที่เรียกว่า เจตสิก

เจตสิกก็คือ อาการปรุงของใจ ที่อาศัยผัสสะ เป็นเหตุทำให้เกิด

เจตสิกนี่ เป็นเจตนาแห่งจิต ที่ปรุงแต่งผัสสะที่กระทบจาก ทาง ตา หู ลิ้นฯ อันเป็นอายตนะแห่งนามรูป ให้สำเร็จขึ้นมา เป็นสมมุติเวทนา

อาศัยเวทนาเกิด ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ความสุขทุกข์ ชอบ ไม่ชอบ ถูก ผิด ใช่ ไม่ใช่ อะไรต่างๆ ก็เกิดตามๆ กันมา

ตามสัญญาโปรแกรมที่มันบันทึกไว้ในอัตภาพ

ผู้ที่ยังไม่แจ้งเรื่องธรรม อันเป็นธรรมชาติของมัน

ก็ย่อมเอาผลแห่งการปรุงแต่งที่ประมวลผลออกมาแล้วนี่ มาเป็น ตัวรู้บ้าง ธาตุบ้าง นั่นบ้าง นี่บ้าง ไปตามเรื่อง

แต่อธิบายขยายที่มาของมันไม่ได้ นี่..เป็นเพราะยังไม่แจ้งในธรรม

แต่เป็นผู้กล่าวธรรม และธรรมที่กล่าว…..มันเดาๆ เอา

ถึงไหนแล้วหว่า..

ต้นไม้นี่ เป็นภวังค์บอด บาลีท่านเรียกว่า วิสังขาร

วิสังขารคือ สิ่งที่ปรุงแต่งโดยไม่มีวิญญาณครอง

เป็นธรรมชาติสี่อย่างคือ ฟิสิกส์ ชีวะ กรรม ธรรม แต่ขาดจิต

วิสังขารนี่มันขาดจิตวิญญาณ มันเป็นธรรมชาติที่ปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัย ของธาตุรู้

เมื่อขาดจิตวิญญาณ มันก็เลยไม่มีใจ

เมื่อไม่มีใจ มันก็ปรุงแต่งของมันไปตามธรรมดาที่มันเป็นธรรมชาติอันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน

มันจึงไม่ได้โกรธและด่าแม่ใคร เหมือนข้า ที่ผัสสะขึ้นมา ก็มีใจ

เมื่อมีใจ มันก็มีอาการแห่งใจ คือด่าแม่ตอบ นี่…เป็นธรรมดา

แต่ในต้นไม้ มันก็มีภวังค์วิญญาณอาศัยอยู่ได้อีก

ในต้นไม้มันก็มีพลังงานปรุงแต่งที่ยังไม่มีสสาร

มันเปรียบเหมือนเป็นพลังงาน ที่เป็นอนุมูลอิสระ

คือยังขาดคู่

คู่นี้ก็คือรูปที่มันจะใช้เป็นเครื่องมือแสดงออก มาทางอารมณ์ที่อิงวิถีสมมุติ

เช่น ที่เราเรียกว่า รุกขเทวดา เจ้าที่ เจ้าทาง เจ้าพ่อ เจ้าแม่ อะไรอย่างนี้

พวกนี้นี่ เป็นภวังวิญญาณ

ภวังค์วิญญาณก็คือ ภาวะแห่งพลังงาน ที่เป็นความทรงจำปรุงแต่งมาจาก วิถีวิญญาณ

วิถีวิญญาณนี่ มันเป็นภาวะวิญญาณปรุงแต่งที่อาศัยประสาท เส้นเอ็นกล้ามเนื้อ ผัสสะแห่งนามรูป

มันอาศัย ทาง ตา หู ลิ้น ฯ เพื่อบันทึกสะสมไว้ในภวังค์ มาเป็นรูปพลังงาน ที่เรากล่าวถึงนี่แหละ

ภวังค์วิญญาณพวกนี้ เป็นพลังงานที่ไร้รูปแห่งสสาร ที่ปรุงแต่งโดยวิบาก

พลังงานเหล่านี้ จึงอาศัยรูป ที่เป็นวิสังขาร คือต้นไม้ ก้อนหิน เหล็ก ธาตุต่างๆ ที่มีรูป เป็นเครื่องเกาะแทนรูปที่ไม่มี

ทีนี้ พวกที่งมงาย ก็จะเอารูป ที่พลังงานเหล่านี้ยึดเป็นเครื่องเกาะ

เอามาเก็บเอามาบูชา เอามากราบไหว้ เอามาเป็นเทพเจ้าเหนือเศียรเกล้า

เรียกง่ายๆ ว่า ยังนับถือเรื่องพลังงานโง่ๆ ที่ยังออกจากวัฏฏะไม่ได้ เอามายึดไว้เป็นที่ตั้ง

ทำให้เกิดตลาดพ่อค้าคนกลาง ค้าขายพลังงานที่เกาะวัตถุ ว่าเป็นอย่างงั้นว่าเป็นอย่างงี้

นี่..ลัทธิผี มันจึงเกิดกระจายไปทั่วโลก

เพราะพลังงานเหล่านี้ มันทำให้ผู้ผัสสะ อธิบายไม่ได้

มันยืนยันกับใจเจ้าของได้ ว่ามันมี แต่มองไม่เห็นตัวมัน เพราะมันเป็นพลังงาน

มันอาศัยเครื่องมือเครื่องอื่นๆ ได้ การเข้าทรงก็อยู่ในเงื่อนไขนี้ ทั้งที่จริงและไม่จริง

ลัทธินับถือผี จึงเกิดเป็นศาสนาเพราะความไม่รู้ธรรมชาติเหล่านี้อันเป็นเหตุปัจจัยเป็นเหตุ

ต้นไม้และพลังงานที่อาศัยเกาะรูปแห่งต้นไม้ มันก็คนละตัวกันอีก นี่..เห็นไหม

ขี้เกียจแล้วว่ะ ไว้วันหน้าอีกก็ละกัน ธรรมมันแสดงตัวอยู่เบื้องหน้าอยู่แล้ว

ลืมตาขึ้นมาดู มันก็เห็นของมัน ไม่ต้องไปอ้างอิงตำราอะไร

วันนี้ขึ้เกียจแล้ว ร้อนโคตรด้วย ขอสาธุคุณ..!!

พระธรรมเทศนา 10 พฤษภาคม 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง