เข้าถ้ำไปนั่งดูจิต

เข้าถ้ำไปนั่งดูจิต

373
0
แบ่งปัน

*****” เข้าถ้ำไปนั่งดูจิต “******

ขอสาธุคุณให้มีแต่ความสุขความเจริญ

จะเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟัง..

เมื่อคืนนี้ ได้พาฝรั่งและน้องๆ ไปฝึกทำสมาธิที่ในถ้ำ ไปกันกลางคืน

ที่พาไปฝึกที่ถ้ำนี่ เพื่ออนุเคราะห์หัวใจของน้องๆ และฝรั่งให้เกิดภาวะปัญญา

กลางคืนในป่าบนภูเขาน่ะมืดมาก

ในถ้ำนี่ มืดชนิดหลับตาจะสว่างกว่า

เป็นถ้ำที่ข้าเคยมาอยู่ มาเจริญธรรมบ่อยๆ ในยุคแรกๆ ที่ค่อนข้างจะหนักในการปฏิบัติ

ถ้ำนี้ ข้าเคยมางดอาหารหลายๆวัน ไม่หลับไม่นอนหลายๆวัน

และเป็นถ้ำที่มีพวกพญานาคเขาอาศัย

เมื่อคืนนี่ เป็นคืนเดือนมืด..

เจ้าพวกที่ตามๆกันมานี่ หากไม่มีข้า ปอดมันคงต้องหาหมอมาแย๊บรักษา

เพราะคงแหกไม่มีเหลือให้หายใจ

ทางขึ้นถ้ำก็แสนที่จะชัน เพราะน้ำลดลงไปมาก ถ้ำจึงอยู่สูง

ในถ้ำจะมีอายเย็นออกมาตลอดเวลา มันเป็นธรรมชาติของถ้ำนี้

ถ้ำนี้เป็นถ้ำตัน มีขนาดพอประมาณที่จะอยู่ฝึกใจ

ในถ้ำ..ข้าให้จุดเทียนและนั่งล้อมวงกัน

บอกให้เพ่งไปที่เปลวเทียน ไม่ต้องบริกรรมอะไร

เพ่งจนใจเป็นอารมณ์เดียว เพ่งจนผู้คนรอบๆที่นั่งเพ่ง มันหายไปจากคลองจักษุ

เพ่งให้เปลวเทียนลอยเด่นขึ้นมาในท่ามกลางความมืด

เพ่งจนเปรียบเสมือนเราอยู่คนเดียว ระหว่างเรากับเปลวเทียน

จากนั้น ข้าให้ทุกคนกำหนดจิต ขยายเปลวเทียนที่ลอยเด่นขึ้นมานั้น ขยายให้โตขึ้นๆๆๆ

โตจนเราเข้าไปนั่งอยู่ท่ามกลางเปลวสีเหลืองนั้น

ข้าน่ะไปนั่งรออยู่ในเปลวเทียนตั้งนาน

ไอ้พวกนี้นี่ มันยังขยายเปลวเทียนให้ใหญ่ขึ้นยังไม่ได้เลย

นี่…คือ ปัญหาของภาวะการฝึกฝนที่จะให้รู้ลึกๆยิ่งลงไปในเรื่องของธรรมชาติแห่งจิต

เจ้าฝรั่งที่ฝึกมาจากทิเบต มีกำลังทางจิต สามารถผลักเจ้าวินด้วยกำลังจิตให้หงายหลังได้

กำลังจิตก็ฟุ้งซ่าน ลมหายใจก็ไม่ละเอียดพอ

การขยายเปลวเทียน จึงไม่มีใครมีกำลังพอที่จะขยายออกมาให้ตนเอง เข้าไปนั่งอยู่ในความสว่างแห่งเปลวเทียนได้

ที่จริงเรื่องแค่นี้นั้น มันใช้กำลังจิตที่เป็นสมาธิเพียงเล็กน้อย

มันเป็นของเล่นสำหรับคนฝึกจิต

มันเป็นอาการปิติอย่างหนึ่ง ที่เราตั้งวิตกขึ้นมา

บางคนหากเข้าถึงภาวะปิตินี้

อาจจะเห็นเปลวเทียนถอยห่างไกลออกไป จนดูเล็กลง

มันเล็กซะจนตัวเอง นั่งอยู่ในท่ามกลางความมืด

กำลังใจไม่ดี มันก็กลัวขึ้นมาอีก

หากทำคนเดียวแล้วเกิดภาวะนี้ มันอาจสติแตกได้อีก

เรื่องจิตนี่ หากมีสติแล้วตกใจในภาวะที่เกิดได้ มันไม่เหมือนฝัน

ฝันนั้น ตกใจแค่ไหน มันก็ตื่นขึ้นมาได้ สติมันไม่แตกกับความฝัน

แต่การทำสมาธินี่ ถึงจุดหนึ่ง สติมันแตกได้ เพราะคุมใจมันไม่อยู่

เปลวเทียนที่มันเลื่อนหายถอยออกไปไกลๆ

จนเห็นลิบๆโน่น แต่ความรู้สึกมันก็เหมือนอยู่ใกล้ๆนั้นแหละ

เพียงแค่รู้สึกเหมือนจะเอื้อมคว้าไม่ถึง

แต่หากสมาธิจิตเข้ามาถึงตรงนี้

ความรู้สึกแห่งเรือนกายมันก็แทบหาแขนหาขาไม่เจอเหมือนกัน

การย่อขยายเปลวเทียนนี่ เป็นอนุบาลของการฝึกกำลังจิต ให้มันชำนาญ

มันจะเกิดความตั้งมั่นในสมาธิที่สูงขึ้นมากกว่าเก่า ในการที่จะขบคิดให้เกิดสติและปัญญา ที่หนาแน่นและมั่งคงเฉียบแหลมขึ้น..

เจ้าพวกที่ไปกันเมื่อคืนนี่ ไม่ได้เรื่องกันซักคน

มันเข้าได้แค่ทำให้เปลวเทียนลอยเด่นและคนหายไปเท่านั้น

ยังไม่มีใครย่อขยายเปลวเทียนให้ใหญ่เล็กได้

เจ้าฝรั่งจอมบ้าพลังก็ทำไม่ได้ เจ้านี้นี่ บินมาจากเยอรมัน เป็นนักออกแบบเหมือนข้า มันอยากมาอยู่ฝึกกำลังจิต

เรานั่งเพ่งกันราวๆชั่วโมงเศษ ข้าเห็นไม่ได้เรื่อง จึงบอกให้ดับเทียน

ทีนี้ พอเทียนดับ ความมืดมันก็ครอบงำหัวใจ

เพราะในถ้านั้น มันมืดหลายๆ มืดจนมองเห็นพยับแดด ที่ระยิบระยับขึ้นมาในความมืด

มันมืดและเงียบจนหูวี๊ดด้วยเสียงลม

พวกมันไม่มีใครเป็นสมาธิ

ลมหายใจหยาบกันทุกคน

นั่งกันไปอีกซักชั่วโมงเศษในความมืดมิด

การขยุกขยิกก็เริ่มเกิด

คนโน้นเกิดได้ คนนี้ก็ขยับบ้าง หักข้อมือบ้าง บิดตัวบ้าง นี่…พวกนี้นี่ สมาธิมันไม่เกิด

ที่ทนนั่งเงียบๆน่ะ มันเกรงใจข้า

มันทนนั่งด้วยความกระสับกระส่ายในความมืด

ข้าจึงด่าแม่กันลั่นถ้ำ บอกให้จุดเทียนและให้ออกไปให้หมด

พวกมันได้ที จึงขานรับและลุกขึ้นพาเดินออกไป

ในข้ออ้างที่ว่า พระอาจารย์ไล่

พวกมันแสนจะดีใจ ที่หาข้ออ้างได้

พวกมันหัวเราะกัน ฮี่ฮี่ แล้วพากันเดินออกไป

ข้าเลยต้องนั่งอยู่ในถ้ำคนเดียว

แล้วข้าจะเล่าอาการจิต และเหล่าวิญญานที่มาหาให้ฟัง..

เมื่อคืนนี่ ข้าได้มองเห็นอะไรหลายอย่าง เช่น ทองคำ แหวน เพชร พลอยเป็นประกายที่วางเอาไว้ตามที่ต่างๆ

สิ่งเหล่านี้ มันเป็นเหมือนความฝันที่เราปรุงขึ้นมา

มันเสมือนตัวเราเคลื่อนออกไปและมองเห็นภาพมองจอหนัง

มันเป็นเรื่องราวในจอ ที่แสดงขึ้นมาให้เราได้เห็นว่ามันเป็นของมันอย่างนี้ๆๆๆ

เมื่อมีพลังงานบางอย่างเข้ามานั่งพัดให้ใกล้ๆ

ข้านี้ก็จะขนลุกขนชันสยองพองเกล้าขึ้นมา

เสียงลมพรึบๆ รู้สึกถึงความเย็นแห่งกลิ่นอายหอมๆที่มาจากสายลม

ขนหัวก็ลุกตั้งอีก มันเยือกของมันทุกครั้งที่ผัสสะ

ในมโนจิตก็ชัด ในภาวะความรู้ตัวทั่วพร้อมที่มาผัสสะมันก็ชัด

นี่..มันอธิบายยากทีเดียวในภาวะที่มันเกิด ที่มันมี และมันเป็น

เมื่อมีวิญญานมานั่งใกล้ๆ ความรู้สึกมันก็เหมือนเราเอ่อๆ อิ่มๆ แบบจะหลุดออกไปในมิติอะไรซักอย่าง

ข้านี่ นั่งเฝ้ามองอาการที่ปรากฏกับกายและใจข้าเฉยๆ

อาการที่เป็น มันก็เป็นไปตามธรรมดาของมัน

ที่มองดูและรู้อาการ มันก็เป็นธรรมดาของมัน

เสียงสาธุการและความยินดี ดังกระหึ่มขึ้น เมื่อจิตมันถึงขึ้นมาอยู่ในวิถีจิตเต็มตัว ที่กำลังนั่งอยู่ในความมืดมิดตรงนั้น

ข้าได้พิจารณาอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงแผ่เมตตาออกไปไม่มีกำหนดไม่มีประมาณ

ความยะเยือกและอาการเหน็บชา เกิดซ่านไปทั้งตัว

นี่..เขาเรียกว่า ผีตอบรับ

นั่งสงบอยู่นาน จึงเดินออกไปที่ปากถ้ำ ท่ามกลางความมืดมิด

เจ้าพวกที่ข้าไล่ให้ออกมา มันไปรออยู่นอกถ้ำข้างล่างโน่น

ข้าเดินออกไปเรียก และให้มาเก็บสิ่งของกลับ

ตอนนั้นเกือบเที่ยงคืนแล้ว

เมื่อทุกคนกลับมาอยู่ในถ้ำ

ข้าให้ทุกคนดับไฟ และหาทางออกไปจากถ้ำอย่างที่ข้าเดินออกไป ปรากฏว่าเดินกันสะเปะสะปะ หาทางออกไม่เจอ

มันมืดชนิดที่ทุกสิ่งมันไร้รูปร่างและทรวดทรงให้กำหนดหนทางหรืออะไรได้

กว่าจะออกกันมาได้ ต้องเปิดไฟและยืนกำหนดทิศทางก่อนปิดไฟแล้วจึงคลำๆกันหาทางออกมา

นี่..ความสนุกเล็กๆน้อยๆ ที่เมื่อคืนผีเรียกให้ไปเยือน

วันหน้า หากว่างๆ ก็จะพาไปอีก

วันนี้ ขอสาธุคุณให้มีแต่ความสุข…!!

พระธรรมเทศนา วันที่ 4 พฤษภาคม 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง