******” ธรรมเบื้องหน้าที่เรามักมองไม่เห็น “*****
การลงทุนที่ยอดเยี่ยมคือ การลงทุนที่ไม่ใช้ทุนอะไรในการลงทุน..!!
>> ลูกศิษย์ : ขยายด้วยเจ้าค่ะ
<< พระอาจารย์ : ข้าไม่มีทุนอะไรที่จะต้องลง
ฉะนั้น… ทุกอย่างไม่มีทุน มีแต่กำไรล้วนๆ
เมื่อก่อน..ก็ไม่เห็นจะมีอะไร
เดี๋ยวนี้..ก็ไม่เห็นมีอะไร ที่จะไม่มี
เมื่อมันเกิดความไม่มี..
ก็ไม่เห็นมีอะไรที่จะไปขาดทุน
เพราะทุน มันไม่มีอะไรมาตั้งแต่ไหนแต่ไรของมันมาแล้ว
เป็นแต่เรา..
ที่ชอบเหมาเอากำไร ที่เพิ่มพูนมา เมื่อมันขาดหายไป
ว่าชีวิตนี้ กูมันขาดทุนๆๆๆๆ
ห่วยยย..!! ชีวิตแตก…
ได้แล้วไม่ยอมเสีย
พอเสีย… โอ๊ยยย..กูขาดทุน
ว่าแล้วซื้อพระอาทิตย์มาเป็นของเราดีกว่า
ลงทุนครั้งเดียว
ใช้ไปได้ ตลอดกาลนาน….
<< ของหนู มันเป็นแบบว่า ตัวเราพิจารณา…กาย…แล้วมันจะเห็นภาพซ้อนออกมา ว่าจิตพิจารณาความคิด…จิตก็สนุกกับมันสักพัก แล้วมันก็ว่างเลยค่ะ มันยังไม่เกิดปัญญา
>> พอจ : หนูกับจิตนี่ คนละตัวกันหรือ หนูถึงได้เห็นมันพิจารณาความคิด
อะไรที่เรารู้ นั่นเราหมด
และอะไรที่เป็นเราหมด นั่นคือ อาการแห่งใจเรา
อะไรที่เป็นใจเรา นั่นเป็นอาการของจิต
อะไรที่เป็นอาการของจิต นั่นเป็นอาการแห่งตัวอวิชชา
อะไรที่เป็นตัวอวิชชา นั่นเป็นเหตุแห่งการวนเวียนแห่งวัฏฏะ
อะไรที่เป็นวัฏฏะ นั้นคือทางโคจรที่หาทางออกได้ยากเย็น..!!
<< หนอน งมงาย : สิ่งที่ปรากฎทั้งหมดต่อจิตผู้รู้ ล้วนเป้นอนัตตาใช่ไหมครับ
>> พอจ : ใช่ หนอน..
เป็นเพียงแต่ คนทั้งหลายไม่รู้ว่า
สิ่งที่ผู้รู้ รู้นั้น มันเป็นอนัตตายังไง
นี่เป็นตัวปัญหาใหญ่ในทิศทางการชี้สอน เหตุเพราะลอกเขามาจำ
เราจำและลอกเขามาแบบสลากยาที่รักษาอาการไข้อะไรไม่ได้เลย
ทุกคนรู้จักคำว่า อนัตตา แต่แทบทุกคนไม่รู้ว่า อนัตตามันคืออะไร
เราไปแปลว่า ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน บังคับบัญชาไม่ได้ นี่แปลกันไปอย่างเพ้อเจ้อ เล็งผลและความหมายแบบเหมารวม
อนัตตานี่น่ะ มันเป็นเหตุของอัตตา อัตตาตะมีไม่ได้เลย ถ้าไม่มีคำว่า อนัตตา
วัตถุสิ่งหนึ่ง มันก่อเกิดมาจากอัตตา แต่จริงๆแล้ว มันคือ อนัตตา
เพียงแต่ว่า เราทั้งหลายไม่รู้ว่า มันคืออนัตตายังไง ปัญหามันคือแค่นี้..
>> พอจ : หวัดดียามร้อนช่วงบ่าย
เราลองหยิบผลไม้ชิ้นเป้งๆซักชิ้น แล้วยัดเข้าปากกลืนลงคอดูซิ
หยิบแล้วกลืนเลย..!!
แล้วลองถามตัวเองดูว่า มึงเสือกเคี้ยวทำไม กูยังไม่ได้สั่งซักหน่อย
นี่..มันเคี้ยวเองหรือว่าเรามันเคี้ยว ในเมื่อเราตั้งใจจะกลืน
<< ปองแปง : เราฝืนไม่ได้เลยครับ แม้เราจะบังคับและสั่ง แต่เมื่อชิ้นผลไม้จะผ่านลำคอ
ขากรรไกรล่างมันขยับในเสี้ยววินาทีนั้นและขบชิ้นผลไม้เร็วเกินกว่าเราจะรู้ตัวครับ
<< นธีกัสสปะ : มันเคี้ยวเองของมัน โดยไม่มีเราอยู่ในการเคี้ยวนั้นเลยครับ
ยัดผลไม้เข้าปาก รู้ทั้งรู้เพราะตั้งใจอยู่ว่าจะกลืน แต่พอผลไม้ที่ยัดเข้าไปในปากนั้น เข้าถึงคอ ขากรรไกร มันทำงานโดยอัตโนมัติ
มับโช๊ะ โดยไม่ต้องมีเราเป็นผู้สั่งหรือบงการอะไรเลยครับ มันงับของมันเอง
<< จิระนันท์ : มันเป็นไปโดยอัตโนมัติค่ะ…หรือเป็นเพราะสัญญาจำหว่า…อะไรที่เข้าปากแล้วต้องเคี้ยว
>> พอจ : นี่ย่อมแสดงว่า.. เราไม่ได้เป็นเจ้าของในอาการที่เรา เป็นเจ้าของในการแสดงออก
เราหลงว่าเป็นเราเคี้ยวมาตลอดชีวิต
นี่..เพราะขาดผู้ชี้ว่า…
ที่กูเป็น กูเสือกในอาการแห่งรูปน่ะ
มันเป็นแค่หลงอาการที่นึกกันว่า ” กูเป็น ”
เช่นนี้..เมื่อเข้าใจและพอมีปัญญา
ก็ค่อยๆเหลาตัวกูออกจากก้อนตัณหา ที่คิดว่า กูเป็นกันหน่อยก็แล้วกัน..!!
วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๙ โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง