****** ” อยู่อย่างเหนือโลกด้วยปัญญา ” ******
ขอสาธุคุณให้มีแค่ความสุขความเจริญ…
การสิ้นสงสัยนี่ อยู่ๆจะมาบอกกล่าวกับคนใกล้ชิดว่า ข้าสิ้นสงสัยแล้วนี่ ไม่ได้..!!
โลกมันด่าเอาตายห่า มันเป็นเวรเป็นกรรมกันเปล่าๆ
คำว่า สิ้นสงสัยนี่ มันต้องหมดจรดจริงๆ มันเข้าไปถึงธรรมชาติทั้งห้าตัวว่า มันเป็นเช่นไร
ความสงสัยใดๆที่จะก่อรูปขึ้นมาในใจว่า ใช่ หรือไม่ใช่ ผิดหรือถูก อะไรนี่ มันมีเหตุผลและเหตุปัจจัยรองรับ ให้จางคลาย เบาบางลงไปเสมอ
มันไม่ตีบตันด้วยการตรึก การตรอง ตรรกะ ปรัญญา และว่าไปตามเหตุผลแห่งตน
ธรรมทั้งหลาย จะประกาศตัวมันด้วยตัวมันเองตรงตามความเป็นจริง
เมื่อสิ้นสงสัย มันก็ตอบได้ทุกคำถาม จะให้ใครเอาตำราจากพระไตรปิฏกเล่มไหนๆมาถาม มันก็ตอบก็อธิบายได้
ไม่จำเป็นต้องไปเรียน ไปสอบ ไปท่อง ไปบ่น ตามโลกเขาว่า
ทุกตำราที่เขาเรียนๆกัน มันมาลงตรงใจดวงนี้หมด
และเห็นแจ้งอย่างหมดจรด พร้อมคำอธิบาย ไปตามเหตุและผลอันเป็นที่มา
นี่…เป็นปาฏิหาริย์แห่งธรรมที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน
คนสิ้นสงสัย มันต้องพร้อมที่จะเผชิญและกล่าวธรรมได้ทุกบท
ทุกบทธรรมที่ว่ากันตามตำรา คนสิ้นสงสัยสามารถอธิบายได้หมดจรด
และการอธิบาย ผู้ฟังสามารถตามรู้และเข้าใจไปตามภูมิของผู้ฟัง
ไม่ใช่ฟังไม่รู้เรื่อง ตามรู้ไม่ได้ แล้วบอกว่า มันเป็นเรื่องปัจจัตตัง
ธรรมอันใด ที่ผู้อธิบาย อธิบายได้ไม่แตกฉานสำหรับผู้ฟัง ที่ได้ฝึกปฏิบัติกันมา
ธรรมทั้งหลายที่อธิบายนั้น พึงระลึกไว้ได้เลยว่า ธรรมเหล่านั้นยังไม่ใช่ธรรมแห่งผู้สิ้นสงสัย..!!
ฉะนั้น..ธรรมแห่งความสิ้นสงสัย ต้องได้รับการทดสอบได้ ทุกๆกรณี
ธรรมเหล่านี้ จะไม่มีที่ตีบตันให้เกิดกับใจของผู้ฟัง และผู้ถ่ายทอด
ธรรมย่อมแสดงตัวตนแห่งธรรมให้ประจักษ์ใจต่อผู้รับฟังได้
ธรรมทั้งหลาย อยู่ที่ภาชนะของผู้ที่รับได้ว่า จะรับเม็ดฝนอันบริสุทธิ์ที่ตกทั่วพื้นแผ่นดิน ว่าจะมีภาชนะรับได้เท่าใด
พึงพอใจในภาชนะตน แม้หยาดฝนจะตกหล่นเรี่ยราดเนืองนองทิ้งไปเต็มผืนแผ่นดิน
เอาภาชนะรองไว้แค่ซักแก้ว
เอาแก้วเดียวเท่าที่ได้
กรอกคอลงไปเลี้ยงดูใจดวงนี้ ให้เกิดชุ่มฉ่ำเย็นด้วยตัวของเราเอง..!!
<< วันนี้พระท่านถามมาว่า..
เราทำอย่างไร ที่จะฝึกเพื่อไม่ให้เกิดกิเลส..!!
นี่..ท่านถามมา..!!
จึงมาขอตอบซะตรงนี้ เผื่อจะได้สิ้นข้อสงสัย
การฝึกปฏิบัตินี้ พุทธศาสนา ไม่ได้ฝึกปฏิบัติ เพื่อไม่ให้เกิดกิเลส
หรือฝึกเพื่อลดกิเลส หรือฝึกเพื่อไม่ให้กิเลส มันเกิดขึ้น…ไม่ใช่อย่างนั้น
การฝึกอย่างนั้น เหล่าต่างศาสนาเขาก็ฝึกกัน
การฝึกมันไล่ดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน
แต่ความหมายและจุดหมายที่ต้องการมาหล่อเลี้ยงใจดวงนี้ แตกต่างกัน
พุทธศาสนา เป็นเรื่องของปัญญาญาน
เราฝึกปฏิบัติ เพื่อให้รู้เห็นและเท่าทันต่อกิเลส
กิเลสนี่ มันตัดไม่ได้หรอก มันเป็นธรรมชาติโปรแกรมจิต
เราจะตัดน้ำที่ไหลลงมาจากที่สูงย่อมเป็นไปไม่ได้ พอๆกับธรรมชาติการไหลแห่งกิเลส มันก็ย่อมตกลงมาจากที่สูงเหมือนสายน้ำฉันนั้น
เราตัดไม่ได้ แต่เราเรียนรู้ที่จะเข้าใจ และอยู่กับมันได้โดยที่เราไม่เดือดร้อน
เมื่อเรารู้จักธรรมแห่งใจที่มันเป็นกิเลสด้วยการพิจารณาจนตกไปด้วยความสิ้นสงสัย
เราก็จะอยู่กับกิเลสได้ โดยที่ใจเรามันไม่เปียกชุ่มด้วยความเปียกแห่งกิเลส
ปรอทย่อมไหลไปบนวัตถุได้ โดยที่ไม่มีวัตถุใดจะเปียกปอนเปื้อนเลอะไปด้วยคราบแห่งปรอท
กิเลสทั้งหลายก็เช่นกัน
สำหรับใจที่เข้าใจและรู้เห็นแจ้งโลก
กิเสลก็ย่อมมาแปะเปื้อนใจที่รู้เห็นแจ้งโลกไปไม่ได้
แม้ใจนั้น จะคลุกอยู่กับโลกอยู่ก็ตาม ท่านก็ว่าไปตามโลก
แต่ปัญญาญานของท่าน มันอยู่เหนือโลก
โลกย่อมไม่เข้าใจท่าน แม้ท่าน…จะเข้าใจโลก
การฝึกเพื่อตัดกิเลส เพื่อไม่ให้กิเลสเกิด เพื่อลด ละ เลิก กิเลส
มันเป็นธรรมแห่งเด็กน้อยที่จำเป็นต้องฝึกฝนกัน
มันเป็นธรรมแห่งตัวตนที่เป็นอัตตา และยึดในอุปาทานที่ตนแสดง
ธรรมเช่นนี้ ย่อมเป็นธรรมแห่งธรรมดาของทุกๆ ศาสนา
มันเป็นธรรมที่ตีบตันและคับแคบ
ธรรมแห่งพุทธศาสนา เป็นธรรมที่เข้าไปรู้เห็นตามความเป็นจริง
และอยู่กับมันตามความเป็นจริงด้วยเหตุปัจจัย
นิกายวัชรยาน ได้ให้นิยามไว้ว่า
เราไม่ควรฝืนธรรมชาติ อะไรที่ฝืนธรรมชาติ สิ่งนั้นไม่ใช่ธรรม
นี่..เขาว่ากันอย่างนี้..!!
ทีนี่ นักบวชในลัทธิเขา เมื่อมีความกำหนัดยินดีในเรื่องเพศขึ้นมา
พวกเขาก็เลยถือว่า การเสพสมร่วมเพศ มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่ควรไปฝืนเช่นกัน
พวกเขาจึงพากันเสพสมสู่กัน เพราะเห็นว่า มันเป็นธรรมชาติ..!!
นี่..พวกลัทธิบ้าธรรมชาติแบบเข้าข้างกิเลสตน
ไม่เข้าใจการเข้าใจธรรมชาติ และเข้าไปสู่ความรู้เห็นแจ้งในธรรมชาติ
เอาธรรมชาติแห่งกิเลสตน ไปบิดเบือนธรรมชาติที่จะทวนไปสู่เหตุแห่งกิเลสใจตน
ความไม่เข้าใจธรรมชาติ มันก็ย่อมเป็นธรรมแบบปรารภโลก และปรารภใจตนเอง นี่..เป็นธรรมดา
ต่างศาสนาไม่รู้จัก ที่จะดำเนินใจไปในร่องแห่งการ ปรารภธรรม
เรื่องพวกนี้ ถ้าอธิบายก็จะยาวเหยียด
มาซิ..มาฟังคำอธิบายสดๆกัน ที่เกาะบุญญพลัง
ธรรมเหล่านี้ ง่ายดายแบบพลิกฝ่ามือ
เรามาตั้งคำถามให้มันสุดตีนกันไปเลย
เอาความคมที่เราลับมาเป็นอย่างดี
เอามาลองมาทดสอบคมใจเรา
ว่ามันคมดีพอแล้วหรือยัง ที่จะออกไปฝ่าฟันกับความเป็นจริง ที่เราต้องออกไปเผชิญ
ความสงสัยจะไม่สิ้นไปได้ ด้วยการไม่ทำอะไร หรืออยู่กับความว่าง
ความสงสัยไม่สิ้นไปได้ ด้วยการตรึกตรองตามเหตุตามผล
ความสงสัยไม่สิ้นไปได้ด้วยการโหมปฏิบัตอย่างบ้าคลั่ง
ความสงสัยไม่สิ้นไปได้ด้วยเหตุและผล ตรรกะ ปรัญญาที่อนุมานกันขึ้นมา
ผู้สงสัยแม้จะไม่สงสัย มันก็ไม่สิ้นความสงสัยไปได้ด้วยความไม่สงสัย
เรา..จะหาทางออกกันเช่นไร เราต้องมานั่งคุยกัน ก่อนที่คืนวันและกาลเวลา มันจะมาพรากสังขารนี้ไปตามกาลแห่งความเป็นธรรมดาของมัน
ขอสาธุคุณ…!!
วันที่ 25 มีนาคม 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง