สติแตกเพราะแค้นข้ามชาติ

สติแตกเพราะแค้นข้ามชาติ

737
0
แบ่งปัน
***** ” สติแตกเพราะแค้นข้ามชาติ “*****

เรื่องวิญญาณนี่ เป็นสิ่งดำมืดของผู้คนทั้งหลาย

การเปิดเผยเรื่องราวเหล่านี้ ต้องรู้จริง และมีทิศทาง ที่ชี้ให้ผู้คนได้เกิดปัญญา

ไม่เช่นนั้น เราจะหลงงมงายกันด้วยความมืดมิดนั้นอย่างไม่รู้จบ

สังคมไทย …

สิ่งเหล่านี้ เรามีความเชื่อและแน่นเฟ้นกันมายาวนาน

การนับถือผี จึงเกิดมาท่ามกลางหัวใจชน ทุกยุคทุกสมัย

ศาสนาแห่งผีนี่ มีกันมากมายหลากหลายแพร่ออกไปแทบทุกประเทศ

เพียงแต่การเปิดเผย ปกปิดมันมากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง

ปัญหาของผู้คนคือ ขาดผู้เข้าใจ ว่าสิ่งเหล่านี้ มันมีเป็นธรรมดา

ผู้คนส่วนใหญ่ให้ค่าและความหมายที่ศรัทธา และไร้แรงต้านด้วยความงมงาย

พวกเขางมงายเพราะความไม่รู้

ความไม่รู้จึงเกิดภาวะแห่งการจำนน เพราะสิ้นปัญญาแห่งหนทางเดิ

นี่..พ่อค้าคนกลางระหว่างโลกวิญญาณกับความงมงายด้วยการจำนนต่อความหมาย มันจึงผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดที่ได้ความสมดุล

บางพวกที่ไม่เอาอะไรเลย ก็โต่งรับไม่ได้กับสิ่งที่ตนเองเห็น

มันโต่งด้วยทิฏฐิตน โดยไม่ได้เข้าใจถึงความเป็นจริงที่ตนมองเห็นผล ว่าเหตุมันมีมาอย่างไร

นี่ก็เป็นประเภทโง่เหมือนกัน ด้วยภาวะแห่งการไม่เอา ไม่เชื่อ ด้วยความมัวเมาแห่งกิเลสตน ในฟากของความโต่ง ล้นไปข้างอีก

ผู้มีปัญญา ย่อมมองเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นธรรมดา

เพียงแต่ผู้มีปัญญา ต้องเสาะหาผู้มีปัญญาเห็นแจ้งกว่า มาอธิบายในสิ่งที่มีและเป็น ให้กระจ่างใจ

ข้านี่ ได้เผชิญต่อเหล่าวิญญาณ มาหลายครั้ง ความตั้งมั่นที่ขาดปัญญา มันช่วยอะไรเราไม่ได้

ที่สุดพอถึงจุดหนึ่งที่ถึงทิฏฐิเรา ซึ่งต้องมีเป็นธรรมดา มันก็เลยบ้า

ข้านี่..บ้าอยู่พักใหญ่ เพราะต้านไม่ได้กับใจที่โดนความกลัวเข้ามาครอบงำ

สมัยหนึ่งท่ามกลางความมืดมิด เปล่าเปลี่ยวและฝึกอยู่คนเดียว ในป่าช้าร้าง

จิตที่ละเอียด อันฝึกมายาวนาน มันสัมผัสกับความละเอียดแห่งพลังงาน ที่มันไม่เคยพบเจอ

เพราะความเป็นคนไม่เชื่อไม่จำนนอะไรง่ายๆ

มันจึงเกิดการพิสูจน์ในสิ่งที่มันเกิดกับใจ ที่มันผัสสะแทบทุกช่องทางแห่งอายตนะ

สิ่งที่มากระทบ เป็นพลังงานที่มีบันทึกฟากฝ่ายที่เคยเป็นศัตรูกัน

ซึ่งเป็นธรรมดาของภาวะจิต ที่เราจะต้องเผชิญในสิ่งที่น่าหวาดหวั่นสำหรับใจดวงนี้ก่อนเสมอ

เมื่อจิตมันละเอียดมากๆ เข้า บันทึกสัญญาที่ซ่อนเร้นอยู่ในภวังค์จิต มันก็ได้รับการปลดปล่อย

ศัตรูที่เคยฟาดฟันกันมาทั้งกองทัพ มันทะลักทะลวงเข้ามาโหมใจนี้จนเกินจะต้านได้

ที่สุด..กรรมฐานก็แตก ความฟุ้งซ่านทางความกลัวมันก็เกิด

เมื่อเริ่มสั่นคลอนความตั้งมั่นที่แสนภูมิใจหนักหนา

ขีดแห่งความบ้าที่เรียกว่าสติแตก มันก็เข้ามาครอบงำ

นี่..เพราะใจมันล้ำแดนเข้าไปลึกกว่ากำลังที่เรามี

เหล่าวิญญาณทหารกล้า และเป็นพี่น้องชาวไทยด้วยกันในสมัยหนึ่งที่ผ่านมา

ถูกข้าสั่งตัดหัวมากกว่า 400 หัวที่เคยตั้งอย่างสง่าอยู่บนลำคอ

เลือดที่พุ่งขึ้นมาสาดกระเซ็นเนืองนองเต็มลานพื้นกุดหัว แดงฉาดคาวคลุ้ง

ณ.ที่นั้น..ริมแม่น้ำป่าสัก ลานหน้าวัง อันเป็นชื่อของตลาดหัวรอ ในปัจจุบัน ที่หน้าวังอยุธยา

มันเป็นยุคของเหล่าพี่น้องที่ต้องฆ่ากันเอง เพื่อความเป็นใหญ่

ใครไม่ยอมอยู่ใต้บาทใคร ก็ต้องลุกขึ้นทะยานสู้ เพื่อช่วงชิงสิทธิ์ในการที่จะครอบครองแผ่นดิน

เมื่อไม่ยอมและตั้งกลุ่มลุกขึ้นเป็นใหญ่ ต่างก็ต้องโรมฟันตรู

ใครไม่ยอมก็ต้องสู้ จนกว่าจะเหลือเพียงหนึ่งเดียว

ที่สุด..ฝ่ายที่ข้าควบคุมก็ได้ลุกขึ้นมาเป็นใหญ่

เมื่อมีชัย ก็ต้องปราบเสี้ยนหนามไม่เหลือราก

พวกมันคลั่งแค้น ที่หัวต้องมาจาก

มันประกาศก่อนหัวกุด ว่าจะตามล้างทุกชาติไป

นี่..วิบากแห่งภวังค์ ที่มันทะลักออกมาให้ข้าต้องเผชิญ

พวกมันมีมากเกิน ต้องรบอย่างโดดเดี่ยวด้วยใจดวงนี้

ที่สุด..ความอ่อนด้อยท้อถอยแห่งกำลังก็พึงมี

ใจดวงนี้แพ้พ่าย บ้าสติแตกหลุดโลกไปเลย..!!

นี่..เอาภาวะจิตที่ด้อยปัญญาเข้าขืนสู้กับกำลังของมัน

ที่สุดใจก็พ่าย ความหวาดหวั่นยำเกรงมันก็เข้าครอบ

มันทนสู้ภาวะไม่ได้ กับเสียง ภาพและผัสสะที่ประดังเข้ามายามเข้ากรรมฐานอยู่ผู้เดียวในป่าช้า

ที่สุดใจก็บ้าแตกซ่านกรรมฐานแตก คุมสติไม่ได้อีกเลย

แต่ข้าบ้าไม่เหมือนคนอื่นบ้าที่จำนนต่อความกลัว

แรกๆ ก็ยอมจำนนด้วยความกลัว

เมื่อกลัวมากๆ มันก็ทะยานไปทางบ้าคลั่ง

ข้าเผาและทุบศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่ต่างๆ ที่คิดว่ามันมีผี ให้มันออกมาต่อยหน้ากัน

ขึ้นชื่อว่าผี ข้าทุบและเผาแหลก อัฐิกระดูกที่เขาฝังตามกำแพง ข้ากระทุ้งด้วยชะแลง เอากระดูกผีออกมา สาดฟุ้งไปทั่ว

นี่…คนมันพอบ้า ผีมันก็เดือดร้อนไปทั่วเหมือนกัน

ที่ทำเพราะทนไม่ได้ เลยท้าทายผีทั้งโลกรบแม่งมันเลย

ไหนๆ ก็สติแตกไปแล้ว

นี่..กว่าจะมาเป็นคนเช่นทุกวันนี้ได้ มันเคยแตกมาแล้วกับเรื่องผี

เพียงแต่คนทั้งหลายเขาไม่รู้ดีและไม่ค่อยมีใครจะประสบก็เท่านั้น

เรื่องพวกนี้มันมีข้าได้เผชิญและยืนยัน

เพียงแต่เราจะทำและอยู่อย่างไร ให้ใจมันพอดีและเกิดปัญญา

ไม่ว่างแล้ว ค่อยมาคุยกัน..

วันที่ 18 มีนาคม 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง