สุญญตาเกิด เมื่อเห็นอนัตตา

สุญญตาเกิด เมื่อเห็นอนัตตา

786
0
แบ่งปัน

>> ลูกศิษย์ : กราบนมัสการพระอาจารย์ ธรรมกะ บุญญพลัง เจ้าค่ะ

มีญาติธรรมของโยมท่านหนึ่งได้แอบอ่านธรรมะของพระอาจารย์แล้วมีข้อสงสัยจะรบกวนเมตตาไขข้อสงสัยเจ้าค่ะ

“เมื่ออัตตามีอยู่ อนัตตาจึงถือกำเนิดมาจากอัตตา เมื่อเห็นอนัตตา สุญญตาจึงกำเนิดมา แล้วต่อจากสุญญตาแล้วยังมีสภาวะใดถือกำเนิดต่อมาจากนั้นอีกหรือไม่ หากมีสภาวะนั้นเรียกว่าอะไร หากไม่มี เราจะนำสุญญตานั้นยกมาพิจารณาอย่างไร”

โยมนั้นขาดเขลา อาจเรียบเรียงคำถามได้ไม่ดีนัก ขอพระอาจารย์โปรดเมตตาด้วยเถิดเจ้าค่ะ

<< พระอาจารย์ : ต้องเรียงใหม่ให้ถูกก่อนว่า อนัตตามีอยู่ อัตตาจึงถือกำเนิดมาจากอนัตตา

อัตตานี้ เป็นตัวสมมุติที่อวิชชาสร้างขึ้นมา เรียกว่า จิตสังขาร

อัตตาเกิดกำเนิดขึ้นมา ด้วยการปรุงแต่ง แห่งจิตสังขาร

จิตสังขาร คือองค์ประกอบอันหลากหลายที่เข้ามารวมๆ กัน จากการผัสสะแห่งอวิชชา

เราหลงในอัตตา เพราะเราไม่มัปัญญา แหกวงล้อสมมุติแห่งวัฏฏะออกมา ที่ท่านเรียกท่านกล่าวว่า เป็นผู้ไม่รู้จัก ปฏิจจสมุปบาท

คำว่าสุญญตา เป็นคำความหมายถึงผู้มีปัญญา ที่มีดวงตาเข้าไปเห็นความเป็นจริง ในสรรพสิ่งว่า มันว่างเปล่าจากความหมาย และสาระทั้งหลาย ที่หลงยึดกันเป็นอัตตาเป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของเป็นนั้นเป็นนี่

เมื่อเกิดปัญญาพิจารณา สาวผลลงไปหาเหตุตามหลักอริยสัจ เห็นชัดตรงตามความเป็นจริงว่า

สิ่งที่มีที่เห็นในสรรพสิ่งทั้งหลาย แท้จริงแล้ว มันไม่มี
ที่มี เกิดจากสมมุติไปตามเหตุและปัจจัยให้มี สิ่งที่ยึด ที่เป็น ที่เห็น ทางอายตนะทั้งหลาย มันไม่มีจริง

ที่ไม่มี มันเกิดจากพิจารณาอันเป็นวิปัสสนาญาณตัวหนึ่ง ย้อนทวนสมมุติทั้งหลาย ว่าสิ่งทั้งหลายที่มี ที่เห็น ที่ผัสสะ มันมีขึ้นมาได้ ด้วยเหตุอันใด

อาศัยมหาสติ มหาปัญญาที่ต่อเนื่อง พิจารณาลงไป ใจก็จะทราบผล ตรงตามความเป็นจริง

ว่าแท้จริงแล้ว สรรพสิ่งทั้งหลาย มันไม่มีจริงๆ ที่เราเห็นว่ามี มันมีเพราะมีเหตุเหล่านี้นี่เอง

จิตที่โดนใจย้อมด้วยวิปัสสนาญาณเช่นนี้ เมื่อถึงที่สุด ย่อมปล่อยวางอุปาทาน ที่ยึดมั่นเป็นเขาเป็นเราเป็นสัตว์ เป็นวัตถุบุคคลสิ่งของ ที่น่ายึดมั่นหวงแหนลงได้

เพราะทราบตรงตามความเป็นจริงแล้ว ว่า มันไม่มี ที่มี มันคืออัตตาที่สมมุติขึ้นมาจากความเป็นอนัตตา สรรพสิ่งทั้งหลายก็เลยมี

นี่..ผู้เห็นชัดเช่นนี้ เรียกว่า เป็นผู้เข้าถึงตรงตามความเป็นจริง เป็นผู้เห็นความเป็น สุญญตา ไม่ใช่เป็นผู้เป็น สุญญตา อย่างที่ใครบางคนเขาโม้ๆ กัน

เมื่อเห็นความเป็น สุญญตา ใจที่มองเห็น ย่อมคลายอุปาทาน เมื่อรู้ชัดตรงตามความเป็นจริง ที่ใจตนเองก็แย้งไม่ได้ มันสิ้นความสงสัย ไม่สงสัยในสิ่งที่มี

เมื่อรู้แล้ว มันก็คลาย การแสวงหา หวงแหน ปกป้อง โหยหาลง ไปตามกำลังแห่งปัญญาที่เจ้าตัวมี

แต่ความเป็นสุญญตาแห่งความรู้ กับสุญญตาแห่งความจริง มันคนละขั้วกัน

ผู้มองเห็นความเป็นสุญญตา ยังหมกตนเองอยู่ในเวทนาของโลกแห่งตัณหา
แต่อยากแสวงหา สุญญตา นี่มันโง่และบ้าอย่างเต็มทน

ผู้ที่เห็นความจริงแห่งความเป็นสุญญตา เมื่อสังขารยังไม่โรยรา ท่านก็อยู่อย่างรู้ว่า นี่อัตตา นี่อนัตตา นี่สุญญตา

ทั้งชื่อและความเป็นจริงทั้งหลาย ที่เข้าไปเห็น มันมีเหตุมาจาก ตัวอวิชชาโน่น

อัตตา อนัตตา สุญญตา มันเป็นแค่สมมุติชื่อเรียก เมื่อรู้อยู่อย่างนี้ ประจักษ์ใจอยู่เช่นนี้ แต่โลกธาตุไม่หวั่นไหว นี่ก็มี

ที่โลกธาตุไม่หวั่นไหว เพราะใจยังอ่อนกำลังที่จะเข้าไปวินิจฉัย ทำศึกสงครามใหญ่ กับเจ้าของความรู้เห็นทั้งหลาย

ตราบใดที่ยังยิ่งใหญ่เพลินใจในความรู้เห็น เป็นเจ้าของผู้รู้ผู้เห็นผู้วางทั้งหลาย ตราบนั้น ก็ยังเป็นตัวอวิชชา ที่จะนำพาให้ก้าวข้ามหุบเหวยังไม่พ้น

ท่านที่เข้าใจ ท่านที่รู้เห็น แม้โลกธาตุไม่หวั่นไหว ใจเสวยวิมุตติไม่ได้

ท่านก็เพียงอยู่ประคองใจ ด้วยสติและปัญญา ไม่ไหลตกลงไปในธารแห่งกระแสแห่งตัณหา ที่เป็นสมมุติทั้งหลายนั้น

เพิ่มกำลังที่อ่อน ด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เจริญ ยิ่งๆ ขึ้นไป

ประคองใจในสิ่งที่รู้เห็นเช่นนี้ ด้วยสติและสัมปชัญญะไป จนกว่ากายแตกสลาย

กายสลายเมื่อไหร่ จะเป็นผู้ที่ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก แม้จะต้องค้างอยู่ในภพใดภพหนึ่งก็ตาม..

ภูมิจิตที่อยู่ในขั้นศีล ก็เห็นความเป็นสุญญตาได้ ขั้นสมาธิ ก็เห็นได้ ขั้นปัญญาก็เห็นได้ หรือแม้แต่ขั้นปุถุชน ก็มองเห็นความเป็น สุญญตาได้

ทุกคนมองเห็นได้ แต่เห็นแล้วว่า สรรพสิ่งทั้งหลายมันไร้สาระในความหมายและตัวตน ก็ยังยึดมั่นในสิ่งที่เห็นอยู่ เช่นนี้.. ก็เรียกว่าเป็นผู้รู้แห่งสุญญตาที่โง่หลายๆ

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง ธรรมแห่ง…อนัตตา ณ วันที่ 8 กันยายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง