ภวังจิตแห่งสมาธิ

ภวังจิตแห่งสมาธิ

770
0
แบ่งปัน

***** ” ภวังจิตแห่งสมาธิ “******

>> ลูกศิษย์ : ท่านผู้เฒ่าครับ การนั่งเจริญสมาธิ ของผม ก็เมื่อนั่งจนสงบ ดีแล้ว จิตตั้งมั่นอยู่ ที่องค์บริกรรมโดยไม่หลุดไปไหน จนเกิดการหดตัวของจิต เข้ามาเรื่อยๆ

จากที่ ประครองกับองค์บริกรรมอยู่ องค์บริกรรมก็หายไป จนมันหดเข้าไปถึง ความรู้สึกและเห็นว่า ไอ้ตัวนี้ นี่แหละที่มันเป็นตัวนับหนึ่งเข้าหนึ่งออกอยู่

พอเข้าไปถึงตรงนี้ เจอกับตัวที่มันกำลังนับอยู่ มัน ก็เกิดการเพ้งจ้องกันอยู่อย่างนั้น ไม่ไปไหน คือเมื่อเจอกัน เราก็รู้ว่าเราเจอตัวที่มันเป็นผู้ตั้ง องค์บริกรรมขึ้นมาคือไอ้ตัวนี้

และพอไอ้ตัวนี้มันถูกเราภพเห็น มันก็หยุดกึ๊ก ไม่นับไม่ไปไหน มันก็นิ่ง ให้เราเพ่งจ้องมันอยู่อย่างนั้นสักพัก จิตก็ถอยออก พอถอยออกมันก็นับของมันต่อไป

พอมันนับต่อ ลมหายใจก็เข้ามามีความรู้สึกว่าหายใจ พอรู้ที่ลมหายใจ เสียงภายนอกก็เริ่ม ได้ยิน พอได้ยิน ก็ออกจากสมาธิ

การทำสมาธิ ที่จิตหดตัวเข้าไปถึงตรงนี้ได้ มันคือสภาวะแบบไหนครับ ถูกหรือว่าผิด เห็นจริงๆ หรือว่าหลงในอาการครับ

<< พระอาจารย์ : ที่เกิดปรากฏเช่นนี้ เป็นอาการอย่างหนึ่งที่ใจมันตัดรายละเอียด ออกไปเรื่อยๆ นธี ไอ้ตัวนับนั้น มันเป็นอาการของจิตที่มันปรุงไปตามโปรแกรมแห่งวิตก

หมายความว่า เมื่อใจมันสงบๆ ลง สิ่งกระทบที่มันใช้ผัสสะ ก็เริ่มตัดไปทีละน้อยๆ มันมีสติไปเพ่งอยู่กับคำบริกรรม

เหมือนเราเอาเหรียญ มาสองเหรียญ นำมันมาวางห่างกันซักคืบ แล้วเราเอาใจเพ่งไปเหรียญใดเหรียญหนึ่ง เราจะเห็นโดยความรู้สึก ในสติว่า เหรียญที่ไม่โดนเพ่งนั้น หายไป…

ทั้งๆ ที่ตอนแรก เราก็เห็นอยู่เต็มคลองจักษุว่า มันมีตั้งอยู่สองเหรียญ วิธีนี้ เราทดสอบด้วยตัวเองได้ แล้วเราจะเข้าใจ คำอธิบาย

ใจที่มีสติเพ่ง การนับ มันถอยและหดตัวจากสิ่งรอบด้าน ปกติ เรารู้ทางตา หู ลิ้น จมูก กาย ฯ แต่เมื่อโดนปิดตา ปิดลิ้น เสียง กลิ่น สัมผัส และใจ เราปิดไม่ได้

แต่เมื่อมีที่ตั้งแห่งใจ คือคำบริกรรม หรือการนับในใจ ด้วยสติ โปรแกรมจิต มันก็จะละ ผัสสะเหล่านั้น ให้ถอยออกไปเรื่อยๆ

มันไปเพ่ง อยู่กับคำบริกรรมจุดเดียว แต่เราก็รู้อาการด้วย ได้ยินเสียงด้วย ปีติด้วย สุขด้วย เป็นอารมณ์เดียวด้วย

นี่เป็นภาวะจิตที่อยู่ในเขต ปฐมฌาน ไอ้ที่ไปเจอไปพบตัวนับนั้น มันไปเพ่งจรดจ่ออยู่กับสังขาร ที่ส่งออกมาจากมโนจิตที่ได้ตั้งวิตกไว้

เมื่อไปเพ่งมัน มันไม่ได้หยุดหรอก ที่รู้ว่าหยุด มันเลยตัวส่งออกที่เป็นโปรแกรมตัวตั้ง วิตกไปแล้ว วิตกก็หายไป ตัวประคองคือวิจารณ์ ก็หายไปอีก

ที่จริงมันไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ สติที่จรดจ่ออยู่กับคำบริกรรม มันละเอียด ลอดลงลึกทะลุ ระดับ วิตก วิจารณ์ เหล่านี้ไป

เป็นภาวะจิต ที่กำลังเข้าสู่ ฌาณสอง ที่เป็นอาการแห่งจิตล้วนๆ โดยไม่มีเราแห่งโปรแกรม เข้าไปเสือกได้ จะมีก็แต่เพียง สติ ที่ตามรู้ในอาการที่ปรากฏเท่านั้น

มันจะระลึกในปัจจุบันที่ปรากฏอยู่ คืออาการแห่งการปรุงของจิต ที่เรียกกันว่า ปีติ สุข และอารมณ์เดียวนั้นๆ นี่เรียกว่า ภาวะจิต เข้าสู่เต็มภูมิ เป็นปกติแห่งจิต ที่อยู่ในฌานสอง

แต่ของนธีแค่เฉียดๆ ไม่เต็มฌาณสอง การเกิดโอภาศ เห็นภาพนั่นนี่ ล้วนอยู่ในฌาณสองนี้ทั้งสิ้น เพราะเป็นการปรุงแห่งภาวะจิต ที่ไม่มีเราเข้าไปเป็นเจ้าของ

มันดำเนินของมันไปเช่นนั้น ด้วยอาการแห่งจิต ที่เราเรียกกันว่า ปีติ มันมีแต่สติเท่านั้น ที่เป็นเครื่องมือสอดส่อง ให้รู้ให้เห็นในภาวะอาการดังกล่าว

ตัวเราที่เป็นเราทั้งแท่ง มีหน้าที่แค่ ตั้งวิตก กับวิจารณ์เท่านั้น นอกนั้น มันเป็นเรื่องของจิต ที่มีสติเป็นตัวตามเฝ้าดู ไม่ใช่ตัวเรา เข้าไปเป็น

เรื่องจิตเหล่านี้ ข้าชำนาญ อธิบายได้ทุกภาวะที่มันเป็น เพราะข้าหลงอยู่กับมันมานาน และหลงคิดว่า เป็นผู้ได้ฌาณนั้นฌาณนี้

ที่จริงมันเป็นอาการของจิต มันเป็นของมันเอง ตามเหตุปัจจัยที่มาสนับสนุน ไม่ได้เป็นเรื่องวิเศษวิโสอะไรใดๆ อย่างที่เราเข้าใจอะไรเลย

มันเป็นการสร้างเครื่องมือเพื่อเป็นกำลังให้ใจตั้งมั่น เพื่อพิจารณาธรรม ตามเหตุและปัจจัยที่มากระทบเท่านั้น

ไม่ใช่เพื่อ ฝึกให้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ พุทธเรา ไม่ได้ชี้อย่างนั้น เราปรุงแต่งกันไปเอง ด้วยความไม่รู้

การฝึกสมาธิจิตทางพุทธ ไม่ใช่ฝึกเพื่อมีหูทิพย์ตาทิพย์ หรือเพื่อรู้วาระจิต

แต่เป็นการฝึก เพื่อเอากำลังไปสู่วิปัสสนาญาณ ในเรื่อง รูปขันธ์ นามขันธ์ เพื่อความพ้นทุกข์ ตามความเป็นจริงโน่น

ส่วนหูทิพย์ ตาทิพย์ และรู้วาระจิต มันเป็นอาการแห่งจิต ที่มันมีมันเป็นของมัน เช่นนั้นแล..

มันไม่ใช่ของแน่ของนอน หากฝึกเพื่อแสวงหาสิ่งเหล่านี้….ท่านก็จะเสียเวลาเปล่า

เพราะการเข้าไปเป็นเจ้าของอาการ มันจะไปทำลาย การเป็นการมี หูทิพย์ ตาทิพย์ โดยยากที่จะหวลกลับมามีอีก

ทำให้เกิดยาก แต่สลายไปแสนง่าย นี่..เพราะมีตัวตนเข้าไปทำลายอาการแห่งจิต เหมือนเรากำลังฝัน เมื่อไหร่ที่รู้สึกตัวกับความฝัน ความฝันมันก็จางหายไป พอจะเข้าใจไหม..

เที่ยงนี้ ขอสวัสดี นะนธีและทุกคน..!!

วันที่ 15 มีนาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง