เวลามันน้อยนิด ดุจชีวิตแห่งเปลวเทียน

เวลามันน้อยนิด ดุจชีวิตแห่งเปลวเทียน

710
0
แบ่งปัน

***** ” เวลามันน้อยนิด ดุจชีวิตแห่งเปลวเทียน “*****

เกิดเป็นพญาอินทรี แสนสง่ายามเหินเวหา แต่มันพรากกินชีวิตสัตว์เป็น

เกิดเป็นพญาแร้งแสนเหม็น ไม่สง่า กินสัตว์ตาย มันไม่พรากชีวิตใคร

วิบากพญาแร้งกับพญาอินทรี ย่อมมีผลแตกต่างกัน…!!

เรา….เลือกเป็นพญาอินทรีในวันนี้ เพื่อสรรเสริญและยกย่องจากผู้คน แต่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น…

เรา…เลือกเป็นพญาแร้งแสนอับจนถ้อยคำสรรเสริญ แต่ไม่เบียดเบียนชีวิตผู้ใด

เรา…ต้องการอะไรกับผลบั้นปลายและหลังสิ้นสังขารของชีวิต

เรา..เป็นผู้เลือกหนทางแห่งการดำเนินทางที่จะไปด้วยตัวเราเอง..!!

หวัดดี….

วันนี้หานกยูงทั้งวัน มันหายไม่เห็นมาสองวันแล้ว นี่ก็ห่วงมันอีก มันไปไหนกันน้อ

ตะกี้ก่อนมืด เห็นมันมานอนที่ศาลาร้อยก้อน เออ..มันยังมีชีวิต เห็นแล้วก็โอเคแล้วๆไป

นี่..เป็นธรรมดาของความผูกพันแห่งจิต นกยูงที่สวยๆ เชื่องๆ แสนรัก ตายและหายไปหลายตัว

เราก็เฝ้ามองหามันทุกครั้ง แต่พอรู้ว่ามันตายซะแล้ว

เราก็แค่ยินดีที่มันได้มีส่วนแห่งวันเวลา เข้ามาเป็นเพื่อนเรา ไม่ค่อยจะเสียใจอะไรมากมายนัก เราดูการจากพรากกันนี่ เป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติ มันมีเหตุปัจจัย

เพราะการจากการพรากนี่ มันเป็นธรรมดา ใจมันต้านทานของมันเองได้

ทีนี้มันก็ลามไปถึงวัตถุ บุคคล บางคน เราพบกันเพื่อจาก แต่เขาพบเราเพื่อที่จะก่ออีก นี่ก็มี

ข้าน่ะ ไม่ก่ออะไรกับใครทั้งนั้นแหละ ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น

ตอนเช้าๆ นี่ ข้าจะเดินไปเอาฆ้อนทุบหินออก เอาหินบางก้อนที่มันแนบฝังดินออก

ทุบไปก็หอบไป มันไม่เหมือนตอนหนุ่มๆ เอาแค่มันออกซักกำปั้นได้ ข้าก็พอใจแล้ว

ข้าอยากจะให้มันเรียบขึ้น เพื่อน้องๆ จะได้มานอนกางเต้นท์กันตรงนี้ เหตุมีแค่นี้

และจะให้เต่ามันอยู่ร่วมด้วยกับเราในนั้น แกก็ต้องมาช่วยโกยขี้เต่าด้วย นี่..ข้าทำทุกวัน

ทำนู่นนิดนี่หน่อย ทำทั้งวัน จนดูเหมือนไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

บางทีก็ต้องเดินขึ้นไปแก้ไขงานบนเขาโน่น เดินทีหอบแฮ่กๆ

ตรวจๆๆๆ ด่าแม่เด็กๆ แล้วก็ลงมา ถ้าไม่มีอะไรที่จะต้องแก้ ถ้าแก้ ก็อยู่ยาวยันมืดอีก

นี่..ชีวิต แค่อยู่ไปให้มันสิ้นวันแห่งแสงเทียน

พวกเราล่ะ…!!

เทียนมีเหลืออยู่ขนาดแค่ไหนหนอ ความสว่างแห่งเปลวเทียนชีวิตน่ะ มันคงสว่างเท่าเดิม ดูเหมือนจะไม่มืดมนใช่ใหม

แต่เนื้อเทียนซิ มันค่อยๆ จางหายไปกับกาลเวลา เวลาแห่งแสงในชีวิต มันหดสั้นลงมากแล้วรู้ไหม รีบๆ เข้าเถิด

รีบอาศัยความสว่างจากปลายแสงแห่งเปลวเทียน ที่มันกำลังจางคลายหายไปอยู่ตลอดเวลา

เอาความสว่างที่แสนอ่อนล้านั้น ส่องนำทางที่มันยังตีบแคบมืดมน

เพื่อก้าวออกไป หลุดพ้นจากเส้นทางที่กำลังเดินวน อย่างหาทางออกไม่ได้

แสงสว่างจากเปลวเทียนแห่งชีวิตเล่มน้อย มันจะคอยให้ความสว่างแห่งหนทางได้

อย่ามัวรีรออะไรเลยหนอ เอาความสว่างที่มันมีพอ เร่งหาหนทางก้าวไปข้างหน้า

ก่อนที่แสงแห่งเปลวเทียนที่ชูขึ้นฟ้า มันจะดับมืดสลัว เมื่อไร้แสงแห่งเปลวเทียน

เบื้องหน้า มันดูมืดมนน้อ มันน่ากลัวเวลาเพ่งดู ขอชูแสงเทียนให้มันพอสว่างอยู่กับที่ไม่กล้าออกเดิน

เราอย่าได้กลัวการขู่จากความมืดนั้น ก้าวไปเถิด ก้าวออกไปสู่ความมืดมิดที่สลัวมืดมนนั้น

แสงแห่งเปลวเทียนชีวิตเรา มันจะส่องความสลัวมืดมิดนั้น ให้กระจ่างตา

เมื่อเราเดินเข้าไปหาอย่างไม่หวั่นเกรง ชีวิตที่เหลือแห่งปลายเปลวแสง สู้ๆๆ

อย่าให้ความโหดร้ายมันมาขู่จิตใจเรา

ก้าวเดินออกไป อย่าจมเฉยอยู่กับที่

โลกนี้ ไม่มีพื้นที่ว่างให้ยืน สำหรับคนขลาด และโง่งี่เง่า

คนโง่งี่เง่า รากฐานมันเกิดจากการอยู่กับที่ ไม่มีพื้นที่ว่างพอ ให้ใจก้าวเดินด้วยความมั่นใจ

เรา..สร้างหนทางแห่งโลกด้วยมือของเราเอง

เรา..พึงอย่าท้อ และพึงสู้กับมัน

นี่แหละ..เรื่องราวการเดินทางของชีวิตที่มันเหลืออยู่

มันแค่ได้อาศัยแสงสว่าง มาเป็นแสงแห่งเครื่องนำทาง ไปสู่ความเรืองรองแห่งแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

อย่าให้ความสว่างที่น้อยนิดนี้ มันอับปาง

ท่ามกลางลมมรสุม ที่ใจเจ้าของก่อขึ้นมาเองเพื่อทำลายแสงแห่งเปลวเทียนอันน้อยนิดนั่น ด้วยตัวเราเองอีกเลย

ประคองความสว่างแห่งแสงเทียนที่ยังพอมี ออกเดินไปตามเครื่องชี้ พวกเพื่อนๆน้องพี่หลายคน

เขากำลังรอเราอยู่ตรงทางออกของปลายอุโมงค์ ไปเหอะ….ข้าก็จะรออยู่เหมือนกัน…!!

โอเคนะ..!!

>> ลูกศิษย์ 1 : ผมสะท้านสะเทือน และเศร้าใจ กับธรรมที่พระอาจารย์แสดงนี่ อย่างบอกอาการแทบไม่ถูกเลยครับ

>> ลูกศิษย์ 2 : ช่วงนี้กำลังพิจารณาเรื่องนี้พอดี ตั่งแต่ที่หลวงพี่ เทศน์ให้ฟังวันก่อน ว่าเวลาของหลวงพี่ เหลือน้อยลงมาทุกทีๆ แล้ว

>> ลูกศิษย์ 3 : อ่านไปก็ปาดน้ำตาไป

>> ลูกศิษย์ 4 : ยืนขายเค้กไป น้ำตาคลอไป

<< พระอาจารย์ : แหม๋..เวลาคุย มันก็พาไปเรื่อยแหละ ผีกวีมันสิง

>> ลูกศิษย์ 1 : ผมจะไม่ปล่อยให้แสงแห่งเทียนที่ผมมีเหลืออยู่ไม่รู้กี่มากน้อยนี้ ให้มันหมดไปกับกาลเวลาอย่างไม่รู้คุณค่า

และผมจะไม่มัวเพลินใจ ปล่อยให้โอกาศอันเป็นแสงเทียนแห่งพระอาจารย์ที่ยังมีอยู่นี้ มอดม้วยดับลงไปอย่างไม่รู้คุณค่าเช่นกันครับ

<< พระอาจารย์ : รีบเอาความสว่างแห่งแสงเทียนที่เหลืออยู่น้อยนิด ส่องหนทางเพื่อที่จะก้าวเดินออกไป จากโลกแคบๆ ที่มันแสนจะมืดมน

คนยืนอยู่กับที่ โลกย่อมย่ำยี เพราะเป็นวัตถุที่มันไร้ค่า

ภูเขาแสนแข็งแรงและสูงสง่า วันเวลามันทำลาย ความสง่ามัน จนจมลงเป็นฝุ่นผงแห่งกองธุลี

หยาดน้ำค้างหล่นจากฟ้า แสนบริสุทธิ์ แต่ใครเล่าจะเฝ้าดื่มกินน้ำค้างที่บริสุทธิ์นั้น แทนน้ำฝน

ชีวิตคนเราก็เช่นกัน บางอย่างมันแสนดี แต่ไอ้ที่แสนดีสำหรับเรานั้น มันแสนอัปรีย์ ต่อคนทั้งหลายเขาก็เป็นได้

ความดี ไม่มี ความชั่วไม่มี ชนที่ยึดดียึดชั่ว ฟากใดฟากหนึ่ง เป็นชนแห่งความเลว ที่ยังออกไปสู่หนทางที่มืดมนไม่ได้

ดีเลว เป็นแค่สมมุติแห่งใจ เราสมมุติและมีไว้ เพื่อรู้จักกับมัน ไม่ใช่มีไว้ เพื่อกูที่จะเป็น

โอเคะ..

วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง