เหยียบ…อินตะระเดีย ท่อน 7

เหยียบ…อินตะระเดีย ท่อน 7

471
0
แบ่งปัน

**** ” เหยียบ…อินตะระเดีย ท่อน 7 ” *****

เราออกจากมหาเจดีย์ เดินมารวมกลุ่มกันอีกครั้งที่หน้าวัด

ผู้คนต่างหันมามองขบวนอันยาวเหยียดของหมู่เรา

โกเอ๋และไก๊ด์อินเดีย ได้นำทางไปยังเทวสถานแห่งพระแม่กาลี

ที่นั้นไม่ไกลจากมหาเจดีย์มากนัก อยู่ใกล้ๆกัน เราเดินผ่านประตูบานใหญ่เข้าไป

คนของเขารอเราอยู่ และได้นำพวกเรา เข้าไปในเทวสถานของเขา

ที่นั้น เขาเป็นศูนย์รวมแห่งการบูชาเทพ เขาบูชาเทพใหญ่ๆทุกเทพ อย่างเช่นพระอิศวร พระศิวะ และพระแม่อุมาเทวี รวมไปถึงเจ้าแม่กาลี ที่เรารู้จักกัน

เขาพาข้าไปดูห้องทำพิธีต่างๆ ไปดูที่นั่งที่นอนของศาสดาเขา ที่สืบทอดลงมาเป็นรุ่นๆ

ที่เทวสถาน เป็นที่ๆกว้างใหญ่โตมาก คงจุคนได้เป็นหมื่นคน

แสดงให้เห็นถึงความเจริญและยิ่งใหญ่ของผู้นับถือและศรัทธา

ที่นั่นผีเยอะ พลังงานเยอะ เทวรูปเก่าๆ รวมไปถึงรูปพระพุทธเจ้าเรา เขาก็เก็บเอาไว้

เขาไม่ได้นำมาเคารพหรอก มันเป็นของเก่าแก่ ที่เขานำมาเก็บไว้ แต่ชาวพุทธเรา ไม่มีใครสนใจที่จะเข้าไปหาและขอจากเขาเอง

เขาบอกว่า พระพุทธรูปเก่าแก่ทั้งหลายนี้ มีมาก่อนพระพุทธเมตตา เป็นพระพุทธรูปยุคโบราณ สมัยคุปตะโน่น

และที่นำมาเก็บไว้ที่เทวสถานแห่งพราหมณ์นี่ ก็เพราะว่า สมัยก่อนนั้น พระพุทธรูปเหล่านี้ ตกหล่นอยู่กลาดเกลื่อน ริมแม่น้ำเนรัญชรา

มีมาก่อนที่จะสร้างพุทธมหาเจดีย์ที่เรามองเห็นและสักการะกันอยู่นี่

สมัยก่อน เทวสถานนี่รุ่งเรืองมากๆ เป็นที่นับถือของผู้คนแทบทั้งประเทศ

ที่ดินแถบนั้น รวมไปจนถึงพุทธคยามหาเจดีย์ในปัจจุบัน มันก็เป็นที่ของเขา

เทวสถานเขามีที่มาก กินความกว้างถึง สองสามร้อยตารางกิโลเมตร

ผืนดินในอินเดียนี่ ราคาแพงมาก เมื่อผู้คนไม่มีที่จะอยู่ทำกินได้เข้ามาหาและขอที่ทำกิน

ผู้นำของศาสนา ซึ่งเรียกว่า ” มหันต์ ” หมายถึงผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีหนวดเครา ผู้มีตบะ เป็นผู้นำศาสนาของพวกเขา

ท่านก็จะเซ็นมอบที่ทางให้ชนผู้ยากไร้ได้อยู่ทำกินกัน ด้วยความเมตตา

นี่..แม้แต่มหาเจดีย์ของพุทธศาสนา เขาก็เป็นผู้มอบที่ดินให้ เพื่อที่จะได้ก่อสร้างเป็นมหาเจดีย์แห่งชาวพุทธ ตั้งตระหง่านมาจนถึงทุกวันนี้

เขาบอกว่า เขาเป็นผู้มอบผืนที่ดินให้เหล่าชาวพุทธเอง และมอบให้ทุกคน ที่ต้องการผืนดิน เพื่อนำไปทำประโยชน์ตามแต่ความต้องการ ด้วยความเมตตา

เขาถือว่า พระแม่เป็นผู้ทรงพระเมตตาต่อชาวโลก ไม่ได้เลือกว่า จะต้องมานอบน้อมสักการะหรือไม่

พระแม่ของเขาเป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ ไม่เลือกฝ่ายรักฝ่ายชัง ท่านต้องการให้โลกนี้ มีความสุขและอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ

นี่.เขาว่ามาอย่างนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราคาดไม่ถึงกันเลยทีเดียว

ข้ายืนดูพระพุทธรูปเก่าๆ อยากจะนำไปเก็บไว้ให้เป็นที่ระลึกที่ทรงคุณค่า

ที่ครั้งหนึ่ง พุทธศาสนาของเรานี่ เจริญรุ่งเรืองสร้างศิลปผลงานไว้อย่างลือเรื่อง

แต่ที่สุด ก็ต้องพังสลายไปตามกาลแห่งปัจจัย เหล่าพราหมณ์ทั้งหลายก็ได้เข้ามาครอบครอง

มันผลัดกันเจริญขึ้นมาเป็นยุคๆ เมื่อมาถึงยุคนี้ เทวสถานของพระแม่กาลีอันยิ่งใหญ่

กลับเป็นฝ่ายถดถอย ดูเสื่อมเก่า และสกปรกอย่างน่าใจหาย

ขณะเดียวกัน มหาเจดีย์อันเป็นพุทธสถาน กลับเจริญเติบโตขึ้นมา ทั้งๆที่แต่ก่อน หาผู้คนเข้าไปสักการะบูชา แทบไม่มีผู้คนชาวพุทธหลงเหลืออยู่เลย

รูปสลักพระพุทธองค์ ที่วางเรียงรายมากมาย ไม่ได้หมายความว่า พวกเขานับถือพระพุทธเจ้าเรา

แต่พวกเขาต้องการให้โลกเห็นว่า เขาเคยเป็นเจ้าของ และให้ที่พักพิงแก่พุทธเรา ที่ครั้งหนึ่ง ศาสดาของเรา ท่านก็คือบรรพบุรุษผู้หนึ่ง ที่เป็นผู้มีปัญญาของเขา

ได้ฉีกตัวออกมาจากความเป็นฮินดู และตั้งออกมาเป็นลัทธิหนึ่ง ที่แตกแขนงกันออกมาอีกมากมาย ในประเทศอินเดีย

ที่สำคัญ ความเป็นพุทธของเรา เราลอกเรียนแบบมาจากพวกเขา เราไม่ได้ลอกเรียนแบบมาจาก ความเป็นพุทธ ที่เกิดจากปัญญา อย่างที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ

พวกเรา มันก็ต่างเชื่ออย่างงมงายไม่แตกต่างไปจากเขา เรามันแค่คิดว่า พุทธน่ะมันดี มันประเสริฐสำหรับเรา และที่สำคัญ

เรามันยึดความเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเมามัน แบบไม่ลืมหูลืมตา บ้าตำราและงมงายในตัวบุคคล อย่างที่เรามองพวกเขา เช่นเดียวกัน

พวกเขานำข้าไปชมห้องพลีกรรมต่างๆ ซึ่งธรรมดา พวกเขาจะห้ามนักบวชต่างลัทธิอื่นๆ เข้าไปยุ่งในที่อันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา

ข้านี่มีเซ้นท์ที่ไม่ค่อยเหมือนใคร เมื่อกำหนดจิต มันก็ระลึกได้ลางๆว่า แม้ข้าเองก็เคยเป็นเจ้าสำนักและผู้นำของที่นี่มาก่อนเช่นกัน

เรื่องราวต่างๆและเหตุการณ์บางช่วง มันทะยอยผุดขึ้นมาให้ใด้เห็นกันเรื่อยๆ

ข้าเคยไม่เห็นด้วยกับการนำสาวพรหมจรรย์ มากรีดข้อมือข้อเท้า และแทงลงไปที่คอ เพื่อสังเวย พระแม่กาลี ตามความเชื่อ

แต่เหล่านักบวชที่ชราและมากบารมีต่างไม่เห็นด้วย เขาเชื่อว่า การได้พลีกรรมด้วยสาวพรหมจรรย์ เป็นพระประสงค์ของพระแม่กาลี

ข้าให้เปลี่ยนมาเป็นเลือดสัตว์แทน นั่นก็คือแพะ

แต่พวกเขาเห็นว่า เลือดสัตวนั้น มันไม่บริสุทธิ์ พระแม่ไม่ปราถนา

พวกเขาก็เลยจับข้าไปขังไว้ที่ริมแม่น้ำเนรัญชรา ฐานไปบิดเบือนความเชื่อของเขา ที่ตรงนั้น เป็นโบสถพราหมณ์ เป็นที่ตั้งของมหาเจดีย์ชาวพุทธในปัจจุบัน

ข้าโดนขังอยู่นาน และได้อดอาหารตายในท่าสมาธิที่โบสถร้าง ข้างๆมหาเจดีย์พุทธคยาในปัจจุบัน

เมื่อชาวอังกฤษได้เข้ามาครอบครองอินเดีย พิธีกรรมในการกรีดข้อมือและข้อเท้า เพื่อสังเวยพลีกรรมต่อพระแม่กาลี ก็เบาบางลงไป

ส่วนใหญ่จะแอบๆทำ และที่สุด ก็ได้นำเลือดแพะ มาบูชายันต์แทนเลือดสาวพรหมจรรย์แทน ตามที่ครั้งหนึ่งข้าได้เสนอหนทางออกเอาไว้ แทนชีวิตผู้คน

ทุกๆห้องที่เขาพาข้าเข้าไปชม ข้าจะขนหัวลุกตั้งซู่ขึ้นมาทุกที่

เพราะทุกที่และทุกห้อง ข้าเคยพลีกรรมและนำผู้คนมาทำพิธี

สาวน้อยนางหนึ่งในกลุ่มพวกเราเป็นสาวพรหมจรรย์นางหนึ่งที่ถูกสังเวยที่นี่

เมื่อรวมกับสถานที่และเหล่าวิญญาน เธอก็ร่ำให้และถลาเข้ามากราบข้า

เหล่าวิญญานสาวพรหมจรรย์ ที่ถูกกรีดถูกเชือนข้อมือข้อเท้า มากมายที่ได้อาศัยร่างและใจสาวน้อยของเรา

เขามาขอให้ข้าชี้ทางและปลดปล่อยเหล่าพวกเขา ช่วยพวกเขาให้พ้นไปจากเครื่องจองจำในความทรงจำบันทึกแห่งจิตเสียที

ข้าเองเคยเป็นเจ้าลัทธิที่นี่ และไม่เห็นด้วยกับสาวพรหมจารี ที่ข้าเองก็เคยหลงรักในสมัยนั้น จะต้องพลีกายเพื่อการสังเวย

ความรักต่อสัญชาติญาน มันทำให้รับไม่ได้ กับการพราก ในความรักที่มันก่อตัวขึ้น

เพราะความเป็นผู้นำเป็นเหตุ และมันรู้ดีว่า สิ่งเหล่านี้เกิดจากความต้องการของหมู่ชน ไม่ใช่เกิดจากประสงค์ของพระแม่ที่ไหน

เมื่อปัญญามันเกิด มันก็เป็นธรรมดา ที่จะอยู่ร่วมกันกับความงมงายและความโง่ของผู้คนไม่ได้

สุดท้ายข้าก็ตาย และเป็นความหวังของเหล่าวิญญานอีกหลายดวง ที่รอคอยการกลับมาเพื่อช่วยพวกเขา ให้พ้นไปจากทุคติภูมิ

เสียงร่ำร้องอย่างคร่ำครวญของสาวน้อยที่พนมมือนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า

ใครเห็นใครคงว่าบ้าแน่ๆที่มาเป็นกันเช่นนี้ แต่นี่เป็นเรื่องของจิตวิญญาน

และเธอเองก็ไม่สามารถที่จะคุมสติให้มันไม่ให้เกิดได้

สิ่งเหล่านี้มันก็ยังมีอยู่ของมัน และสิ่งเหล่านี้นี่แหละ ที่ผู้คนหลงไหลนับถือกันด้วยความงมงายและไม่รู้

ศาสนาแห่งลัทธิต่างๆ ที่เกิดมา ก็เพราะอาศัยสิ่งที่มีและไม่รู้นี้ มาเป็นเทพต่างๆ ด้วยความนอบน้อม และเชื่อว่า บูชาแล้วจะทำให้ตนมั่งมีและร่ำรวย

คนพร่องทางจิตและปัญญา ย่อมแสวงหาและนับถือนอบน้อมสิ่งเหล่านี้เสมอ

ข้ายืนแผ่เมตตาจิต และบอกว่าคืนนี้จะรวบรวมกำลังส่งให้ ข้าเข้าไปเตะศรีษะและบอกว่า ขอให้พ้นภัยและเป็นสุขๆเถิด

ทุกคนยืนมองสาวน้อยของเราน้ำตาไหล ข้าไม่เล่าให้ใคร ข้าจะไม่เล่าให้
ใครได้ฟัง ว่าทำไม สาวเจ้าถึงได้มานั่งร้องห่มร้องให้คร่ำครวญเช่นนี้

พอดีต้องกินข้าวแล้ว ค่อยมาว่ากันใหม่ ถึงเทวสถานพระแม่กาลีเด้อ..!!

29 มกราคม 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง