ทำตัวให้ว่างนี่เป็นอัตตา

ทำตัวให้ว่างนี่เป็นอัตตา

541
0
แบ่งปัน

***** ทำตัวให้ว่างนี่เป็นอัตตา ****

ขอสาธุคุณยามเช้าให้มีแต่ความสุขความเจริญ

ในสมัยโบราณ หรือแม้แต่ปัจจุบันนี้ก็เหอะ

มันมีลัทธิที่ยึดติดกับความว่าง การไม่คิด ไม่เอาอะไร ไม่ทำอะไร

ในอินเดีย พวกนี้เรียกตนเองว่า ศาสนาเจน หรือเชน

นักพรตผู้อยู่อย่างเคร่งครัด เขาจะไม่ใส่อะไรแม้แต่เสื้อผ้า

ไม่ทรมารกายด้วยวิธีต่างๆ เพราะเห็นว่า มันเป็นเรื่องของอัตตา

หลักการของเขาคือ หยุดคิด หยุดการกระทำ หยุดปฏิบัติ

เพราะเขาเข้าใจว่า การกระทำดังกล่าว เป็นหนทางเพิ่มทุกข์ เพิ่มวิบาก เพิ่มอัตตาให้แก่ใจดวงนี้

การมุ่งสู่นิพพานของพวกเขาก็คือ อยู่อย่างสงบ ไม่เอาอะไร ไม่คิดอะไร รอให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน

นิพพาน ก็จะมาถึงของมันเองด้วยธรรมชาติของมัน

ไม่มีใครไปเป็นเจ้าของนิพพาน มันนิพพานของมันอยู่แล้ว

แค่เขาไม่ทำอะไรเพื่อเพิ่มกรรมเข้าไปอีกเท่านั้น

นี่..แนวคิดของเหล่าศาสนาเชน

ส่วนอีกพวก ซึ่งเคร่งน้อยกว่า เขาใส่เสื้อผ้า แต่ยึดแนวคิดว่า ไม่ต้องทำอะไรให้เป็นการเพิ่มอัตตาเหมือนๆ กัน

ที่บาลีกล่าวถึงเหล่าเดียรถีร์ ลัทธิเหล่านี้ เป็นหนึ่งในนั้น

การชี้แนะแนวทางธรรมนั้น มันต้องชี้ด้วยเหตุด้วยผล ที่ผู้ตามเข้าใจได้ง่ายอย่างเปิดของคว่ำให้มันหงาย

การที่หยุดคิด หยุดกระทำ ให้อยู่อย่างสงบ นี่ก็เป็นอัตตาตัวตนอย่างหนึ่ง ที่ยึดอาการเหล่านี้

ธรรมชาติของจิต ประกอบด้วยเหตุปัจจัยในการปรุงแต่ง

พุทธศาสนา ชี้ให้เห็นและรู้จักว่า มันเป็นธรรมชาติของมันเช่นนี้

ใช่ว่า เราต้องทำหรือไม่ทำ คิดหรือไม่คิด ว่างหรือไม่ว่าง สงบหรือไม่สงบ ไม่ใช่อย่างนั้น

เหล่าลัทธิแห่งเดียรถีร์เขาก็ว่าของเขามาเช่นนี้ และว่ากันมาอย่างยาวนาน

พวกเขาก็ไม่มีใครเข้าถึงธรรมกันซักคน

ที่ไม่เข้าถึงธรรม นั่นเพราะการเอาตัวตนและความคิดนี่แหละ ว่าเช่นนั้นเช่นนี้ มันไม่ใช่มันไม่ถูก

ต้องไม่ทำอะไร ต้องไม่คิดอะไร สงบๆ ว่างจากการเป็นเจ้าของในสรรพสิ่ง

แต่ตนไม่ว่างจากความเป็นเจ้าของในความเห็นและความคิด ที่ว่า..

มันว่างอยู่แล้ว มันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว มันนิพพานอยู่แล้ว เราแค่หยุดเท่านั้น

นี่แหละ..ไอ้เรานี่แหละ มันอัตตาทั้งดุ้น และเป็นหนทางแห่งสมุทัย ที่เรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ

พุทธศาสนา ชี้ให้เห็นเหตุและผล

ไม่ใช่ชี้ให้ผู้คนเห็นว่า เช่นนั้นถูก เช่นนี้ผิด ไม่ใช่อย่างนั้น

ถูกผิดนี่เป็นเรื่องของอัตตาสมมุติ

ธรรมแห่งมุตโตทัย ไม่ใช่ชี้เพื่อให้มีใครเป็นไปตามที่ชี้

ธรรมแห่งผู้มีปัญญา ชี้เพื่อให้เจ้าของได้ตรึกตรองเห็นเหตุและผลทั้งสองฟาก

เพื่อผู้รับจะได้ใช้สติกำลังแห่งปัญญาของเจ้าของ แทรกตัวและยืนอยู่ได้ ท่ามกลาง ที่ว่างแห่งสมมุติเหล่านั้น ได้อย่างปลอดภัย

พุทธศาสนา ชี้ธรรมชาติที่มันเป็น ว่ามันเป็นธรรมดาของมันเช่นนี้

สรรพสิ่งทั้งหลาย เกิดจากเหตุปัจจัยแห่งกายเรือนนี้ และใจดวงนี้

กายนี้ประกอบด้วยอายตนะ คือช่องต่อที่ให้ผัสสะกับสิ่งรอบกาย

ทุกช่องทาง มันมีหน้าที่ของมันเป็นธรรมดา

เราจะไปห้ามไม่ให้คิด ไม่ให้ทำ ไม่ให้พูด นี่มันเป็นการฝืนกฏธรรมชาติ

หากห้ามได้ เราก็ห้ามไม่ให้ร้อน ไม่ให้หนาว ไม่ให้หิว ไม่ให้ได้กลิ่น ไม่ให้ได้ยินได้เช่นกัน

และความคิด มันก็เป็นธรรมชาติของมันเช่นนั้น

ท่านถึงให้ฝึกสติ เอาสติและปัญญาเข้าไปยับยั้ง ความเชี่ยวกราด ที่เป็นตัณหาผุดขึ้นมาจากใจไม่รู้จบดวงนี้

ให้มันพอทุเลาเบาบางและจางคลายลงบ้าง

เพื่อการอยู่รอดปลอดภัยแห่งอัตภาพที่ไม่เป็นไปเพื่อความเดือดร้อน

สติและปัญญา มันก็เป็นอาการหนึ่งของอวิชชา ที่มันสร้างขึ้นมา

สิ่งเหล่านี้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ

มันเป็นธรรมดาธรรมชาติที่มันมีและมันเป็นธรรมดา ของมันเช่นนั้นเอง

แม้แต่ความเป็นเรา ที่เสือกไปเป็นเจ้าของอาการทุกเรื่อง

แม้กระทั่งความว่าง ด้วยเหตุปัจจัยอะไรก็แล้วแต่

มันก็คืออาการและหน้าที่ตัวหนึ่งที่อวิชชามันปรุงมันสร้างขึ้นมา

ตราบใดที่ยังมีสังขาร การทำหน้าที่อันเป็นธรรมดาของมัน มันก็ย่อมทำหน้าที่ของมัน โดยไม่ขึ้นเนื่องด้วยใคร

ไม่ว่า จะมีเจ้าของหรือไม่มีเจ้าของก็ตาม

ฉะนั้น..ความว่าง การหยุดคิด หยุดทำ ไม่ต้องปฏิบัติใดๆอะไร

มันก็เป็นอัตตา ที่ตัวตนสร้างเหตุสร้างผลขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งการปรุง

ว่านั่นผิด นี่ถูก นั่นใช่นี่ไม่ใช่

นี่..อาการเหล่านี้แหละ เขาเรียกว่า ตัวตนจอมอัตตา

บ้าความว่าง บ้าการไม่เอาอะไร บ้าความคิด บ้าแม่งทุกอย่าง ด้วยอัตตาและตัวตน โดยไม่รู้ตัว

และเป็นธรรมดาธรรมชาติของกิเลสที่ชอบปฏิบัติอย่างเข้าข้างกิเลส ที่เห็นว่า..

การไม่ต้องทำอะไรนี่ เป็นหนทางแห่งการดำเนินสู่มรรคผล

นี่…เรียกว่า หลงด้วยอำนาจแห่งอวิชชา ที่มีตน เข้าไปเป็นเจ้าของ..!!

เช้านี้ขอสาธุคุณ

วันที่ 25 ธันวาคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง