วัฏฏะแห่งกาลสิ้นโลก

วัฏฏะแห่งกาลสิ้นโลก

821
0
แบ่งปัน

***** วัฏฏะแห่งกาลสิ้นโลก *****

หวัดดี… เมื่อคืนนิทานพูดถึงไหน วันนี้ต่อตอนสองไม๊

วันนี้เรามาคุยถึงการทำศึกครั้งสุดท้ายของมวลมนุษย์ แต่เป็นศึกที่ไม่ทำให้โลกแตกอย่างที่คุยกันเมื่อคืน

มนุษย์เรา เมื่อกาลเวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงยุคสุดปลาย ยุคเหล่านั้น ศาสนาไม่มี

ทุกคนยืนอยู่บนความรู้สึกแห่งอัตตาตนเอง

เหล่าสัตว์ ไม่รู้สึกถึงความมีศาสนาฉันใด

มนุษย์ยุคนี้ มีใจไม่แตกต่างไปจากสัตว์

การเข่นฆ่า ด้วยความไม่พอใจ ย่อมเกิดขึ้นได้ง่ายเหมือนเอามือตบยุงตัวหนึ่ง

คือมันไม่มีความรู้สึกว่า ทุกชีวิตนี้มันมีค่า และต่างหวงแหนชีวิต

ความล้ำเลิศในวิวัฒนาการมาถึงจุดสูงสุด แห่งมวลมนุษยชาติ

แต่ขณะเดียวกัน…

ภาวะความต่ำสุดแห่งการมีศีลธรรม ก็จางคลายหายไปจากใจแห่งความเป็นมนุษย์เช่นกัน

เมื่อเกิดสงครามล้างเผ่าพันธุ์ มันจึงเกิดภาวะมิคสัญญีแห่งการสู้รบ ต่างฝ่ายต่างกวาดล้าง และรุมอีกฝ่าย

และที่สุด ที่ร่วมฟากฝ่ายเดียวกัน ก็หันมาประหัดประหารกันเอง ด้วยความไม่ไว้วางใจกัน

เพลิงสงครามลุกโชนไปทั่วโลก บางส่วนขึ้นยานหนีออกไปในอวกาศ

บางส่วนต้องหลบเร้นหาที่ปลอดภัย ในภูเขาและอุโมงค์ร้างเก่าๆ ทุกคนต่างระแวงซึ่งกันและกัน

ไม่มีพี่น้อง มีแต่รหัสพันธุกรรม ซึ่งไร้จิตใจที่จะช่วยเหลือและไว้วางใจได้

พวกที่ปรับเปลี่ยนยีนส์มาทางแพทย์ ทางการงาน และเพื่อการบันเทิง

พวกนี้ไม่คิดฆ่าใคร และไม่อยากให้ใครมาฆ่า

แต่เมื่อเกิดภาวะ มิคสัญญี ไม่ว่าใครจะเป็นอะไร เมื่อได้พบได้เจอ ก็จะถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทั้งสิ้น

เพราะแต่ละฝ่าย แยกไม่ได้ว่า สิ่งที่เคลื่อนไหวและเป็นมนุษย์นั้น มันเป็นฝ่ายไหน

เพราะข้าศึกแต่ละฝ่าย สามารถโคลนนิ่งมนุษย์ของอีกฝ่าย และส่งไปแทรกซึมทั่วทั้งโลก

พวกนี้ มีอายุสั้น.. เฉลี่ยแค่ สามสี่ปี จากอายุปกติ 8 – 10 ปี ผลิตออกมาเพื่อฆ่าและทำลาย

เมื่อเกิดภาวะมิคสัญญี ความไว้ใจต่อกันนี้ ไม่มีเลย ต่างฝ่ายต่างเข่นฆ่า เพื่อรักษาชีวิตตัวเอง

เพลิงไฟเผาผลาญลุกโชนไปทั่ว

ทั้งบนพื้นดิน และในอากาศ มนุษย์ฆ่าห้ำหั่นกันเกือบสิ้นโลก

เมื่อทุกอย่างหยุดสงบลง มันมาพร้อมกับความชิบหายและล่มจม พวกที่ซ่อนเร้นต่างก็ย่องตัวกันออกมา

เมื่อมาเจออีกคน ต่างก็สะดุ้งหวาดกลัว ไม่อยากให้เขามาฆ่า และไม่อยากจะไปฆ่าใครเหมือนกัน

เมื่อต่างฝ่ายต่างหวาดกลัว และไม่เข้ามาเข่นฆ่าซึ่งกันและกัน เมื่อพบเห็นบ่อยๆเข้าและต่างหนีซึ่งกันและกัน

ความเป็นมิตรและการไว้วางใจ มันก็เริ่มเกิด นี่..เป็นธรรมชาติของโลก

เมื่อไม่ทำร้ายกัน ไม่เบียดเบียนกัน ความเป็นมิตรมันก็เกิดเป็นธรรมดา

เมื่อต่างก็เป็นมิตรกัน พวกเขาก็สร้างสัมพันธ์ไมตรีต่อกัน

และสัญญาว่า เราจะไม่ทำร้ายกัน จะไม่ฆ่าซึ่งกันและกัน จะไม่โกหกกัน จะไม่ขโมยซึ่งกันและกัน

นี่ที่ทุกคนบนโลกต้องมาโดนทำลาย มันเกิดจากใจที่โหดร้าย เกิดจาก การไร้ความปราณีกัน เข่นฆ่ากัน โกหกกัน ขโมยซึ่งกันและกัน

เป็นมนุษย์ที่ไร้ความเป็นศีลธรรม ความลุกโชนแห่งเพลิงอารมณ์ มันจึงเข้ามาครองใจและเผาผลาญ ทำลายเจ้าของและทำลายโลกมห้ชิบหาย

ทุกคนต่างรักษาคำมั่นสัญญา เพราะความที่ทุกคนต่างประจักษ์จิตแล้วว่า…

การฆ่ากัน การเบียดเบียนซึ่งกันละกัน การโกหกกัน ขโมยซึ่งกันและกัน มันนำทุกข์ใหญ่หลวงมาให้มวลมนุษย์ชาติ

พวกเขาได้พัฒนามนุษย์ขึ้นมาใหม่ โดยการฉีดเซลเข้าไปในรังไข่ของผู้หญิง

เพื่อผู้หญิง จะได้เกิดความหวงแหน ในสิ่งที่เกิดจากตัวของตน

นั่นก็คือ… ลูก ลูกที่เกิดมาจากอ้อมอกของความเป็นแม่ ไม่ใช่ลูกที่เป็นเมล็ดพันธุ์ อันเกิดจากหลอดทดลอง

พวกเขาขาดความรักต่อกัน เพราะความที่ไม่ได้เกิดมาจากหัวอกเดียวกัน เมื่อเด็กที่เกิดมายุคใหม่ มีแม่เป็นผู้เลี้ยงดู

ความรักระหว่างบุตรกับแม่ ก็บังเกิดขึ้นมาในใจของมนุษย์

ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้ มันเป็นธรรมชาติดั้งเดิม ที่มนุษย์ ต่างเหินห่างมานาน

ความรัก.. ทำให้เกิดสันติ

ความรัก.. ทำให้ทุกคนต่างหันหน้าเข้ามาหากัน

ความรัก.. มันสลัดความเห็นแก่ตัว ระหว่างบุคคล ให้จางหายไป

ความรัก.. ทำให้เกิดความห่วงหาอาทรเกิดขึ้น

ความรัก.. ทำให้โลก เกิดความสวยงาม

และความรัก.. เรียกน้ำตาของมนุษย์ยุคนี้ออกมาได้ เมื่อเกิดการพลัดพราก

ที่สุด.. มนุษย์ก็เปลี่ยนพฤติกรรมจากการปลูกฝากเนื้อเยื่อ มาเป็นการสืบพันธุ์ ระหว่างเพศแทน

การพัฒนาในเชิงชีวะ ทำให้มนุษย์หวลกลับไปเกิดภาวะ ดั่งธรรมชาติเดิมๆ

ต่างมีคู่ และออกลูกออกหลานกันตามธรรมชาติ

ลูกของพวกเขา ได้รับการพัฒนา จนมีอายุขัยยาวนานขึ้นอีกเท่าตัว เป็น 20 ปี

จากนั้นความรักความสามัคคี ที่เกิดขึ้นมา แะเกิดใจที่มีศีลธรรมหนาแน่นขึ้น ทำให้เกิดการพัฒนาอายุลูกของลูก สูงขึ้นไปเป็น 40 ปี

เมื่อกาลเวลาผ่านไป เหล่าเชื้อสายของมวลมนุษย์ ก็เกิดการพัฒนา อายุได้ยืนยาวขึ้น

เป็น 80 ปี 100 ปี 200 ปี และทวีขึ้นไปเรื่อยๆ ตามกาล

จนที่สุด.. มนุษย์ทั้งหลาย มีพัฒนาการทางด้านอายุและรูปร่างที่ใหญ่โตขึ้น มีความสูงถึง 160 วา หรือ 320 เมตร

การพัฒนาในส่วนของเซลล์แมลงต่างๆ ที่นำมาปรับปรุงแต่งเป็นสัตว์ต่างๆ ก็มีมากขึ้นเช่นกัน

จนอายุมนุษย์ นับได้เท่ากับ เอาเลข 1 ตั้ง ตามด้วยเลข 0 จำนวน 140 ลูก

นี่… เป็นจำนวนปีของมวลมนุษย์ ในยุคที่พัฒนาถึงขีดสุด จากที่ต่ำสุด เหลือแค่ 8 – 10 ปี

ความยืนยาวของอายุ ทำให้ร่างกายมีความใหญ่โต ทุกคนไม่มีจิตใจมาทางต่ำกันเลย

แต่ที่สุด..

ความยาวนานแห่งอายุขัย จนไม่คิดว่า ตนจะต้องตาย ศีลธรรมอย่างแรกที่เกิดกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางความยืนยาวนั้นก็คือ การโกหก

ความยืนยาวที่อยู่กันมายาวนาน มันมีเงื่อนไขและเหตุปัจจัย ทำให้มนุษย์เกิดการโกหกขึ้นมา การโกหกเพื่อรักษา วัตถุ คน สัตว์สิ่งของ ที่ต่างมีไม่เท่ากัน

การโกหกเพื่อรักษาอัตตาแห่งตนก็เริ่มหนาแน่นขึ้น

สิ่งนี้เป็นการทำลายความมีศีลธรรมของมนุษย์ไป

เมื่อมีการโกหก ก็ย่อม มีการเบียดเบียน ย่อมมีการขโมย ย่อมเป็นชู้ ย่อมทำลายศีลธรรมกันเรื่อยๆและมากขึ้น

อายุขัยของพวกเขา ที่คิดว่าไม่มีวันตาย ก็เริ่มมีการฆ่า ฆ่าโดยสัญญาของส่วนรวมคือกฏหมาย

การด่าทอเกลียดชัง การขว้างปาบุรุษบุคคลที่กระทำผิด ไม่เป็นที่ชอบใจ ก็เริ่มมีขึ้น

การขโมยอยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของตนก็หนาแน่นขึ้น

แหกคอกออกจากกรอบไปเป็นชู้กันมากขึ้น เหล่าหมู่ชนเริ่มไม่ไว้วางใจต่อกันมากขึ้น

นี่..เป็นสัญชาติญานแห่งสัตว์ ที่ผุดขึ้นมาจากสันดานดิบเดิมๆ ที่มันออกมาจากกรงขังแห่งคอกศีลธรรม ที่กักขังมันมาอย่างยาวนาน ด้วยความละอายใจต่อบาป

ที่สุด อายุของพวกเขาก็ลดน้อยถอยลงมาครึ่งหนึ่ง

ยิ่งกาลเวลาผ่านไป บุตรหลานจองพวกเขา อายุขัยต่างก็ลดลงมาเรื่อนๆ

จนอายุขัยของมนุษย์ ลดลงมาเหลือ 100,000 ปี

ช่วงที่มนุษย์ตกต่ำหาทางออกจากอัตตาตนเองไม่ได้จนอายุบดลงมาเหลือ 100,000 ปี

ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่จะมีมนุษย์ผู้มีปัญญาสูงสุดแห่งมวลมนุษย์ชาติ กำเนิดขึ้น

บุรุษผู้ทรงปัญญา กำเนิดขึ้นมา ช่วงช่วงมนุษย์จิตใจไหลลงต่ำจนหยุดแทบไม่อยู่

ระหว่าง 100,000 ปี เรื่อยไปจนถึง 100 ปี

หากไร้บุรุษผู้ทรงปัญญามากอบกู้มวลมนุษย์ชาติไม่ได้ ในระหว่าง 100,000 -100 ปี

หลังจากหมด 100 ปีไปแล้ว บุรุษผู้มีปัญญาจะไม่มีการลงมาจุติเกิดมากอบกู้วิกฤษความตกต่ำแห่งใจอันหยาบช้าของมวลมนุษย์อีกต่อไป

ที่สุดก็จะเข้าสู่ยุคมืด ที่มนุษย์มีแต่ความโหดร้าย และไร้ศีลธรรมเป็นวัฏฏะแบบเดิมๆ

และอายุก็สั้นลงเรื่อยๆจนเหลือ 8-10 ปี

ที่สุด..มิคสัญญีแห่งมหาสงครามก็เกิดประทุวนเวียนขึ้นมาอีก

นี่..โลกนี้มันวนเวียนซ้ำๆกันเช่นนี้ มาอย่างยาวนาน

โลกที่มันจะพังชิบหายหรือเจริญล้ำเลศสูงสุด ก็มีเหตุมาจากมนุษย์อันเสร็งเคร็งนี่แหละ

วันนี้ ว่ากันพอแค่นี้นะ.!!

วันที่ 16 ธันวาคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง