โลกแตก

โลกแตก

872
0
แบ่งปัน

****** โลกแตก ******

เรามาฟังนิทานเรื่องโลกแตกกันดีกว่า…

สมัยหนึ่ง ข้าอ่านหนังสือ และเขาเขียนมาว่า โลกนี้จะแตก และที่สำคัญ
มีการคำนวนอายุของโลกนี้ด้วย ว่าเกิดมาเท่าไหร่ปีแล้ว

นี่..ข้าว่าเขามั่วเอา มันไม่มีสาระอะไรเลย ข้าก็เลยจะมั่วมั่ง

โลกนี้ไม่มีการแตก คำว่าโลกแตกหรือสิ้นโลก เป็นเรื่องของการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ ไม่ใช่โลกนี้มันแตกระเบิดออกอย่างที่เข้าใจ

โลกใบนี้ มันเวียนวนของมันอยู่เช่นนี้ มานานแสนนาน

ที่เขาว่า ไดโนเสาร์ ตายหมด เป็นเพราะเจออุกกาบาตพุ่งชนโลก นี่ก็ไม่จริงอีก

อุกกาบาตน่ะมันพุ่งเข้าหาโลกน่ะมันมี แต่ไม่ได้ทำให้เกิดการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ตามที่จินตนาการกัน

เรื่องดาวอื่นมาชนโลกนี่ เป็นเรื่องแต่งและคาดคะเนเอาของฝรั่งเขา

โลกนี้ที่เรียกว่าแตกและสลาย เกิดจากน้ำมือของมนุษย์บนโลกนี้แหละ

อีกอนาคตกาลข้างหน้า มนุษย์เรา จะตัวเล็กลงตามเหตุปัจจัย

บนผืนโลกใบนี้ จะมีแต่พื้นหญ้าและดินทรายที่แห้งแล้ง สัตว์ต่างๆในปัจจุบันจะสูญพันธุ์ไปอย่างหลากหลาย

สัตว์ที่มีและพออยู่ได้ จะเป็นจำพวกสัตว์เลื้อยคลานและแมลง

ชนยุคนั้น จะนำเอาพวกพืชประเภทหญ้านี่แหละ มาสกัดเอาธาตุอาหารมาหล่อเลี้ยงชีพ และใช้เคมีสกัด ปรับปรุงและหล่อเลี้ยงธาตุ

อายุของพวกเขา มีความยืนยาวราว 8-10 ปี แล้วแต่เหตุปัจจัย

พวกเขาทั้งหลาย เกิดจากการบ่มเพาะเนื้อเยื่อ ที่ปรับเปลี่ยนพันธุกรรม

ไม่ได้เกิดจากพ่อและแม่ อย่างเช่นเราๆ การปรับเปลี่ยน เอายีนส์ด้อยออก

และปรับแต่ง ให้เป็นยีนส์ชั้นสูง ที่หล่อหลอมปรับแต่งให้เจริญและเก่งในแต่ละด้าน

มนุษย์บางจำพวก ก็เกิดมาเพื่อความบันเทิงให้แก่หมู่คณะ

บางพวกก็เกิดมาเพื่อเป็นนักกีฬา เป็นแพทย์ เป็นทหาร เป็นดารา เป็นนักแสดง

ต่างแยกย่อยกันออกไป ตามการปรับแต่งพันธุกรรม

ความรักระหว่างกันไม่มี การเสพกามอาศัยภาพด้วยเครื่องมือสร้างมโนจิต

เด็กที่จะเพาะพันธุ์ออกมา เกิดจากเซลเนื้อเยื่อ ที่ตัดแต่งพันธุกรรมกันมา

การเจริญเติบโต อยู่ในเรือนเพาะพันธุ์เมล็ดพันธุ์มนุษย์

เด็กคนใดการเจริญเติบโตช้า หรือการพัฒนาการทางร่างกายและสมอง ไม่ทันในรุ่นเดียวกัน

ก็จะถูกกำจัดทิ้งไปอย่างไร้ความหมาย

อายุสามปี ก็เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว พร้อมที่จะเจริญพันธุ์ให้แก่รุ่นต่อไป

โดยการถ่ายทอดยีนส์และเซล ผ่านเก็บไว้ ในโรงเพาะชำของศูนย์กลางระหว่างประเทศ

เผ่าพันธุ์มนุษย์แบ่งแยกออกไปกันหลากหลาย และมากมาย

เมื่อถึงจุดหนึ่ง การขยายอาณาเขตและการรุกรานก็เกิดกำเนิด แต่ละฝ่ายต่างผลิตกองกำลังที่ปรับแต่งพันธุกรรม

มาเป็นมนุษย์บ้าคลั่งและเป็นจอมสังหาร เข้าห้ำหั่นกัน เพียงเพื่อต้องการชัยชนะ และครองโลกที่แคบลงเพราะความหลากหลายของผู้คน

มหาสงครามก็เลยเกิดขึ้น การรบที่มีวิวัฒนาการล้ำหน้า ทำให้โลกใบนี้ ลุกเป็นไฟ

ต่างฝ่ายต่างโหมกำลังเข้าไป และพวกนี้ เป็นกำลังแห่งกองทหาร ที่เพาะพันธุ์ขึ้นมาเพื่อทำลาย ไร้ความปราณีใดๆ ต่อเพื่อนร่วมโลก

และเป็นพันธุ์กรรมมนุษย์ที่ผิตมา เพื่อความภูมิใจในการตาย ในสงคราม

มนุษย์รบกันราว 49 วัน ทุกอย่างบนโลก ต่างเป็นจุลและลุกเป็นไฟ

สงครามนี้ หากเป็นสงครามครั้งสุดท้ายแห่งมหากัปป์ ตามวิบากแห่งกลไกร่วมที่เหล่าสัตว์มนุษย์สร้างขึ้น

มนุษย์จะทำลายทุกอย่างบนโลก เพื่อกวาดล้างข้าศึก ให้สาปสูญสิ้นไป ไม่เหลือหลอ

และกลุ่มตน จะอาศัยยานแม่ ลอยตัวอยู่ในอวกาศ

โลกที่ลุกเป็นไฟ ยังความชิบหายให้แก่มวลชีวิตที่สถิตย์อยู่บนโลก

พวกที่รอคอยชัยชนะอยู่ในยานอาวกาศ อาศัยเป็นร้อยๆ ปี โลกก็ไม่สงบนิ่งไปจากการลุกเป็นไฟ

ที่สุด..พวกเขาก็สูญสลาย ไปในอากาศ

บางพวกก็ไปตั้งรกรากใหม่ บนดาวดวงใหม่ และสืบทอดเชื้อสาย ขยายกันออกไป

ส่วนโลกนั้น ลุกเป็นไฟ นานอยู่ 64 อัตตกัปป์

หนึ่งอัตตกัปป์ ก็กินเวลา เอาเลข 1 ตั้ง ตามด้วยเลข 0 จำนวน 140 ลูก

64 อัตตกัปป์ ก็กินเวลาราวๆ เอาเลข 1 ตั้ง ตามด้วยเลข 0 จำนวน 8,960 ลูก

นี่…เป็นจำนวนปีของ เวลาแห่งไฟ ที่มันลุกโชนเผาผลาญโลก

ควันที่ล่องลอยขึ้นไปในชั้น บรรยากาศ ทำให้เกิดลมและฝน เป็นฝุ่นละอองปกคลุมโลก

ฝนอันมหาศาลที่เกิดจากความร้อนแห่งไฟ กระทบกับความเย็น เกิดเป็นลมพายุพัดหวลให้ไฟยิ่งลุกโชน

ความร้อนที่ลุกโชนเมื่อกระจายแผ่ซ่านไปสู่ความเย็น ละอองฝนอันมากมายมหาศาล

ต่างพรั่งพรู ตกลงสู่ผิวโลก และดับไฟที่ลุกโชนลงไปได้

บนโลกเต็มไปด้วยน้ำฝนและความมืดมิด ที่เกิดจากฝุ่นะออง

ตรงนี้… กินเวลายาวนานนับจากวันเกิดสงครามทำลายโลก เป็นเวลา 2 อสงไขยกัปป์

2 อสไขยกัปป์ ก็กินเวลา หากเอาเลข 1 ตั้ง เราก็ใส่ 0 ตาม 17,920 ลูก

นี่เป็นเวลาจำนวนปี ของ 2 อสงไขยกัปป์

และโลกจะตกอยู่ในความมืดมิด ไร้แสงดาว พระอาทิตย์ ไร้วัน ไร้คืน ไร้เดือนไร้ปี

เพราะอำนาจแห่งฝุ่นละอองที่ล่องลอยและปกคลุมโลกอย่างหนาแน่ อันเกิดจากฝุ่นขี้เถ้าที่เผาลุกโชน ด้วยอำนาจแห่งไฟที่มนุษย์ก่อเหตุขึ้นมา

เป็นเวลารวมแล้ว 1 อสงไขยกัปป์ นับจากสงคราม เป็นเวลารวมแล้วกว่า 3 อสงไขยกัปป์

ที่โลกใบนี้ เต็มไปด้วยไฟ ลม น้ำ และความมืดมิด ที่ไร้สรรพสิ่งใดๆ ในโลก ที่โดนทำลาย

ความมืดมิด ไร้ชีวิต ที่โลกโดนห่อห้มด้วยฝุ่นละอองหนาปกคลุมโลก อันยาวนาน

ที่สุด..เหล่าพลังงาน ที่ไม่ได้อาศัยรูปหยาบ ต่างก็มาก่อตัวขึ้นในความมืดมิดสนิทนั้น

นั่นคือจุดเริ่มต้นของวิวัฒนาการใหม่ บนโลกใบนี้

นี่..จุดกำเนินชีวิต มันเริ่มขึ้นในปลายอสงไขยกัปป์ที่ 3 เริ่มอสงไขยกัปป์ที่ 4

ท่านเรียกพลังงานเหล่านี้ ว่า สัตว์ประเภทหนึ่ง ที่อาศัยกรรมแห่งตนเป็นเครื่องอยู่

โลก..ท่ามความมืดมิด เต็มไปด้วยน้ำ ในน้ำ ก็มีจุดกำเนิดวิวัฒนาการชีวิต แห่งพลังงานด้วยเช่นกัน

ในความมืดมิดท่ามกลางเหนือน้ำ สัตว์พลังงานบางพวก ต่างมีแสงในตัวเอง

ต่างล่องลอย และก่อตัวระยิบระยับ ท่ามกลางความมืดมิด มีความอิ่มทิพย์ด้วยวิบากแห่งตน

ในความมืดนั้น ที่ผิวน้ำ เกิดฟองน้ำ อันเป็นปฏิกริยาของพืชที่ก่อตัวกันขึ้นมา ตามเหตุปัจจัยแห่งการเพาะบ่มอันยาวนาน

สัตว์เหล่าหนึ่ง ได้ดอมดมและลิ้มลองฟองน้ำนั้น ที่เกิดขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด กระจัดกระจายไปทั่วโลก

เมื่อได้เคล้าคลึงรุมดอมต่างก็เสพฟองน้ำนั้นกันขึ้น เกิดการย้อมติดใจ ในความหยาบแห่งรสชาติ ที่ปรับปรุงและวิวัฒนาการขึ้นมา

ก่อเป็นทรวดทรงรูปร่าง ที่สุดต่างก็อาศัยฟองน้ำในความมืดมิดนั้น เป็นเครื่องดำรงชีพ

ฝุนละอองที่ปกคลุมโลกมาอย่างหนาแน่นและยาวนาน เริ่มคลี่คลายตัว และเบาบางลง

ความสว่างแห่งดวงอาทิตย์เริ่มสาดแสงสอดแทรกให้โลกอันมืดมิด ได้เกิดความสว่างอยู่รำไรได้บ้าง

สัตว์ที่มีแสงสว่างไร้รูปหยาบ แสงเริ่มเลือนหายไป และก่อกาย ให้มีความหยาบแห่งเรือนร่างมากขึ้น แต่ยังล่องลอย และบางชนิด ก็อาศัยน้ำนั้นเป็นเครื่องอยู่

ที่สุด ฟองน้ำอันเกิดจากเหตุปัจจัยท่ามกลางความมืดมิดก็หายไป

ความสว่างแม้ไม่สดใสสว่างจ้า แต่ทำให้เกิดอุณหภูมิขึ้นมา น้ำบางส่วนก็เริ่มเหือดแห้งไป เกิดปฏิกริยาแห่งอุณหภูมิ ก็ทำให้เกิดเชื้อราต่างๆ ขึ้นมาแทน

สัตว์เหล่านั้น ต่างเข้ามากินเชื้อราเป็นอาหารแทนฟองน้ำที่เริ่มขาดหายไป ร่างกายของสัตว์เหล่านั้น ก็หยาบขึ้น ก่อร่างเป็นทรวดทรงหยาบขึ้น

น้ำเริ่มงวดหายไป อยู่เป็นส่วนๆ ผิวดินก็เริ่มปรากฏ เมื่อดินปรากฏ พืชต่างๆ อันเป็นเถาว์ก็ต่างเกิดขึ้นมา

สัตว์ทั้งหลายที่เคยล่องลอย ต่างก็อาศัยพืนดินนั้น เป็นที่อยู่อาศัย และอาศัยเถาว์เหล่านั้น เป็นเครื่องยังชีพ

ความหลากหลายแห่งวิฒนาการก็เริ่มแปรแยกย่อยแตกต่างในด้านพันธุกรรมกันออกไป

นี่..จุดกำเนิดโลกไหม่ มันเริ่มต้นไปจากธรรมชาติเช่นนี้

คืนนี้ดึกแล้ว ขอลาที ค่อยว่ากันตอนต่อไป

สวัสดี เด็กๆ ที่ชอบฟังนิทาน

>> พระอาจารย์ : เดี๋ยวมีภาค สอง หากไม่ใช่สงครามที่เป็นการทำลายจนสูญสิ้น มหากัปป์ มันจะเป็นอย่างไร

นี่แสดงไว้ด้วยเหตุแห่งการสิ้นกัปป์ ที่เรียกว่าโลกแตก

ง้วนดินที่บาลีว่ามา ก็คือฟองน้ำ

กะบิดินก็คือเหล่าเชื้อรา ที่น้ำเริ่มงวดและมีแสงรำไร

ส่วนเคลือดินก็คือ เหล่าพืชที่เริ่มมีวิวัฒนาการ

<< พระอาจารย์ ถ้าโลกมืดมิดทุกอย่างไม่มี โลกก็จะว่าง จากศาสนาที่เค้าว่ากันใช่มั้ยค่ะ

>> ไม่ใช่อย่างนั้น เรื่องว่างจากศาสนา ค่อยมาว่ากัน มันคนละเรื่อง

<< แม้โลกมิดมิดพลังงานก็ยังคงอยู่หรือค่ะ

>> พลังงานน่ะ มันล่องลอยอาศัยอยู่เต็มจักรวาลอยู่แล้ว

ไฟที่ลุกโชน ยามเอาน้ำสาด ไฟมันไปอยู่ที่ไหนเล่า

<< ถ้าน้ำน้อยก็ยังคงอยู่รอการประทุครับ

<< คงดับม้อดไปด้วยน้ำหรือเปล่าค่ะ

>> มันไม่ไปไหนหรอก

<< ไฟยังอยู่สินะครับ

<< ไฟกลายสภาพ

>> มันปรับตัวและเป็นพลังงานแฝงอยู่ในน้ำนั่นแหละ ไฟนะเป็นรูป แต่พลังงานความร้อนมันก็ยังคงอยู่

พลังงานแห่งไฟคือ อุณหภูมิรูปดับ พลังงานมันก็ยังอยู่ พลังงานไม่ได้สูญสิ้นไปตามรูปนี่

<< กฏทรงพลังงาน พลังงานไม่มีวันสูญหายครับ Law of Entrophy

>> และมันก็ไหลเจือจางไปในอากาศ แต่ไม่ไปไหนหรอก

มันพร้อมจะกลับมาก่อรูป เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อม

วิญญานก็เป็นพลังงานอย่างหนึ่ง ที่ผ่านกาลแห่งการ วิวัฒนาการ ทางพลังงาน ในรูปของสังขารจิต

เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม มันก็ก่อกำเนิดเป็นนามรูปและมีอายตนะ บันทึกโดยอาศัยการผัสสะ

<< โฮ … ใช่เลยค่ะมันเจือจางอยู่ในอากาศทำให้เรารู้สึกร้อน แต่เรามองไม่เห็นความร้อนนั้น

<< เห็นซิพี่นันท์ ทำไมจะมองไม่เห็น

<< เฉกเช่นภูเขาไฟใต้น้ำที่ปะทุขึ้นมาเป็นการก่อรูปอีกวาระใช่มั้ยคะ

>> นั่นมันเกิดจากเหตุปัจจัยส่ง แหม่ม ไม่ใช่มันก่อขึ้นมาด้วยตัวมันเอง

<< เห็นด้วยกายหรือค่ะ

>> ใช่ใช้กายเห็นไม่ใช่ใช้ตาเห็น

<< แล้วเราจะหลุดพ้นจากวัฏฏะได้เช่นไร ในเมื่อพลังงานไม่สูญสิ้น ก่อรูปขึ้นได้ตามเหตุปัจจัย

>> วัฏฏะเป็นเรื่องของพลังงานโง่ๆ ที่กำลังสุ่มหาทางออก

พลังงานที่ฉลาด และมีวิวัฒนาการ มันมีหนทางออกของมันโดยไม่ขึ้นกับพลังงานของใครมันก็มี

ไปนอนกันได้แล้ว

วันที่ 15 ธันวาคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง