ขยายธรรม อัตตกิลมถานุโยโค

ขยายธรรม อัตตกิลมถานุโยโค

317
0
แบ่งปัน

******* ขยายธรรม อัตตกิลมถานุโยโค ******* 

ขอสาธุคุณให้มีแต่ความสุขความเจริญ

กว่าจะได้มานั่งอ่าน นี่ก็ปาเข้าไปตั้งบ่ายสอง

ชีวิตมันก็ทำนู่นี่นั้นไปเรื่อย สัตว์เลี้ยงเยอะ ลูกๆเยอะ

รักมัน ก็ดูแลมันไป

บางตัวก็โดนอีเหลือมมางาบ

นี่…ก็ต้องว่ากันไปตามเหตุแห่งวิบาก

ไม่เป็นไร ขอให้ชีวิตไปเกิดใหม่ให้ภพภูมิสูงๆขึ้นนะลูกนะ

มาว่าถึง การทำตนให้ลำบาก ในการปฏิบัติ ที่เรียกกันว่า เป็น อัตตกิลมถานุโยค

ตรงนี้ เหล่าบัญฑิตผู้แปล ให้ความหมายไม่ถูกนัก

ผู้คนที่ฟังมา ก็เลยเอาตรงนี้มาเป็นข้ออ้างของกิเลสไป

คือ ฝึกสบายๆ อยู่สบายๆ นอนสบายๆ กินสบายๆ

นักภาวนาศิวิไล มันเอียงใจมาทางสบายๆ แล้วเอาความสบายๆอ้างมรรคผลกัน

นี่…ไม่ถูก

เอากิเลสแห่งใจตนที่ถูกใจมาปฏิบัติภาวนากัน เพราะความถูกใจของกิเลส

อ้างความลำบาก เป็นอัตตกิลมถานุโยค พระพุทธองค์ไม่ทรงสรรญเสริญ

นี่…พวกบ้าคำแปล ขาดปัญญาวินิจฉัยธรรม เอาการทรมานของพระพุทธองค์ ที่ไม่ทรงบรรลุธรรม มารวมกับคำ อัตตกิลมถานุโยค ไป

หากคำนี้ ไปรวบรวมกับการทรมานกายตน

คำปรารภเมื่อได้ความแยบคายแห่งจิต เมื่อเห็นถาดลอยน้ำไปและไหลจมลงไปในกระแส ที่ทรงกล่าวว่า

” แม้เลือดจะเหือด เนื้อจะแห้ง กายเราจะป่นลงไปเป็นผุยผง เราก็จะไม่ลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้ หากไม่สำเร็จพระโพธิญาณ “

นี่…คำปรารภนี้ ก็ต้องเป็นการกระทำแห่งอัตตกิลมถานุโยคด้วย

นี่…ข้าแค่ชี้ให้เห็นที่มาว่า คำๆนี้ ไม่ใช่ความหมายที่แปลๆกันมาว่า

เป็นการกระทำตนให้ลำบากเช่นนั้น

ไม่ใช่หมายถึงการเป็นการทรมานกายอย่างนั้น อย่างที่พระพุทธองค์ทรงกระทำ

หากความหมายเป็นดังที่แปลมาเช่นนั้น

การปรารภก่อนบรรลุสัมโพธิญาณก็จะขัดแย้งกัน…

ในบทธัมมจักฯ ท่านได้กล่าวถึงคำๆนี้ไว้

เหล่าบัณฑิตไทยเรา แปลว่า อัตตกิลมถานุโยค เป็นการกระทำตนให้ลำบาก

ท่านไปรวมการทำทุกรกิริยา ที่พระพุทธองค์ทรงกระทำ
แล้ว ไม่สามารถบรรลุมรรคผลเข้าไปด้วย

นี่…ความหมายมันเป็นคนละกาลกัน คนละเรื่องกัน

คำว่า อัตตกิลมถานุโยคนี่ ในธัมมจักฯ ท่านเล็งความ
หมายไปที่ เวทนา ที่มีตัณหาผุดขึ้นมาไม่รู้จบจากใจดวงนี้

คือ ความถูกใจ กับไม่ถูกใจ

อะไรที่ไม่ถูกใจย่อมไม่ชอบใจไปซะหมด ผลก็คือทุกข์

อะไรที่ถูกใจ ย่อมชอบใจไปซะหมด ผลก็คือสุข

เมื่อถูกใจ สบายใจ ชอบใจ ย่อมแสวงหา นี่เป็น กามสุขัลลิกานุโยค

เมื่อไม่ถูกใจ ไม่ชอบใจ ไม่สบายใจ ย่อมทุกข์ใจ ก็ผลักไส นี่เป็น อัตตกิลมถานุโยค

สองสิ่งนี้ เป็นธรรมดาของชาวบ้านทั้งหลาย ที่เขาเป็นกันทั้งโลก

เหล่านักบวช ไม่ควรไหลตามกระแสเข้าไปเกี่ยวข้อง

เพราะมันเป็น กามตัณหา คือความอยาก

เป็นภวตัณหา คือความทะยานอยากให้ได้มา

เป็นวิภวตัณหา คือไม่อยากให้สูญเสียพรากจากไป

นี่…ย่อลงมาก็คือ การไหลไปกับความสุขและทุกข์ที่มีตัณหามาจากเวทนา ที่อาศัยการผัสสะเป็นเหตุ

เมื่อนักแปลบาลี มาให้ความหมายว่า เป็นการกระทำตนให้ลำบาก เป็นความหมายของคำว่า อัตตกิลมถานุโยค

พวกนักภาวนาก็เลยได้ที อ้างคำเหล่านี้ เป็นการเข้าข้างกิเลสของตนไป

ต่างพากันไปขัดแย้งธรรมของนักปฏิบัติภาวนาว่า การอดน้ำอดข้าว อดนอนเป็นการทรมานกาย

นี่…พวกไม่เคยเอากายเข้าไปแลกกับเวทนาเพื่อมองให้เห็นปัญญา ที่ซ่อนหน่อเนื้ออยู่ในนั้น

แม่คุณเอ๋ย การปฏิบัติธรรมอย่างพวกโลกสวยน่ะ มันเป็นอัตตา และเป็นสมุทัยทั้งดุ้น

และไม่ใช่ การอยู่เฉยๆ โดยไม่เอาอะไร จะมาประกาศว่านี่คือธรรม

ไม่ใช่เรียนรู้ธรรมอย่างมากมาย ว่าเป็นเครื่องหมายการันตีว่าจะเข้าถึงธรรม

ไม่ใช่การปล่อยวาง ไม่ใช่การวางเฉย ไม่ใช่ กูไม่เอาอะไรแล้วทั้งนั้น

เหล่านี้…ล้วนเป็นอัตตา

สิ่งใดที่เป็นอัตตา สิ่งนั้นเป็นสมมุติที่อวิชชาสร้างขึ้น
มาเพื่อยึดเป็นอุปาทาน

เมื่อยึดเป็นอุปาทาน มันก็ดิ้นรนเพื่อให้ได้มา

ได้มาแล้ว ก็ไม่อยากให้จากพรากไป

มนุษย์เรามักจะหักห้ามใจกระทำในสิ่งหนึ่ง เพื่อระงับและปราถนาในสิ่งหนึ่ง

โดยหวังว่าสิ่งที่ตนกระทำนั้น ถูกต้องเป็นไปตามโลกเขาว่า และตนเองว่า

การกระทำโดยนัยยะนี้นี่แหละ ที่เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค และกามสุขัลลิกานุโยค

ธรรมเช่นนี้เป็นธรรมดาของชาวบ้าน ที่ไม่ได้ว่ากันไปตามธรรม

การว่ากันไปตามธรรม ที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับสองสิ่งนี้ก็คือ

การเข้าถึงความเป็นจริงด้วยการพิจารณา อันเป็นไปตามเหตุและปัจจัย

ไม่ใช่เกิดจาก กูเป็น…

ไม่ว่างแล้วว่ะ…

เอาเป็นว่า อย่างน้อย ก็พอได้ร่องได้รอยแนวทาง
แห่งความหมายที่แปลๆกันมาบ้าง ว่าไม่ค่อยถูกนัก

ฉะนั้น คำแปลทั้งหลายที่เขาแปลๆกัน ยังต้องให้ผู้รู้ธรรม ท่านได้ออกมาตีความ

ไม่ใช่ จะดื้อด้านเอาภูมิความหมายที่คนแปลออกมา
เป็นพระพุทธเจ้าพูด

พวกยึดคำแปลจากตำราโดยขาดปัญญาทางธรรม ได้แต่จำได้แต่ลอกเขามา

คำและภาษาเหล่านี้ ความหมายและความจริงทั้งหลาย ย่อมบิดเบือน

การบิดเบือนด้วยความไม่รู้แห่งตัวตนนี่แหละ

ทำลายมรรคผลของตนเองและผู้อื่นอย่างไม่น่าให้อภัย…

ขอสาธุคุณ..!!

วันที่ 29 ตุลาคม 2558